วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 14:12 น.

การเมือง

หัวหน้าพรรคประชาชนคนใหม่ลั่น! เลือกตั้งปี 70 สร้างรัฐบาลพรรคเดียว 

วันศุกร์ ที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2567, 13.49 น.

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 สิงหาคม ที่อาคารตึกไทยซัมมิท มีการประชุม ส.ส.อดีตพรรคก้าวไกล ซึ่งย้ายไปสังกัดพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีมติเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรค และ นายศรายุทธ ใจหลัก อดีตผู้อำนวยการพรรคก้าวไกล ได้รับการเสนอชื่อเป็น เลขาธิการพรรค น.ส.ชุติมา คชพันธ์ เป็นเหรัญญิก
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม อดีตรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นกรรมการบริหารพรรคดูแลทะเบียนพรรค และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ เป็นกรรมการบริหารพรรค

หลังจากนั้นนายณัฐพงษ์ พร้อมด้วย นายศรายุทธ ,นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ร่วมแถลงข่าว โดยนายพริษฐ์ ระบุว่า นับไม่ถึง 48 ชั่วโมง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ยุบพรรค ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า พวกเราฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วในนามพรรคประชาชน วันนี้อดีต สส.พรรคก้าวไกลทั้งหมด 143 คน ที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และ ส.ก.11 คนจากพรรคก้าวไกล รวมถึงแนวร่วมเครือข่ายทั่วประเทศ มาประชุมกันเพื่อตกลงร่วมกัน จะเดินหน้าต่อ ขับเคลื่อนและผลักดันการเปลี่ยรแปลงประเทศนี้ในนามของพรรคประชาชน

เหตุผลใช้เลือกชื่อพรรคประชาชนนั้นเรียบง่าย เพราะเราต้องการเป็นพรรคการเมืองโดยประชาชน เพื่อประชาชน และเดินหน้าสู่การสร้างประเทศไทยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราเชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตย คุณค่าสูงสุดอยู่ที่ประชาชน สถาบันการเมืองทุกสถาบันควรยึดโยงกับประชาชน ถูกตรวจสอบได้โดยประชาชน และดำรงอยู่ อย่างมั่นคงและชอบธรรม ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชนทุกคน

โดยมีภารกิจมุ่งมั่นเชิญชวนประชาชน และอดีตสมาชิกก้าวไกล 100,000 กว่าคน ส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยบทถัดไป สามารถสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ ที่ตั้งเป้าหมายให้ทะลุ 100,000 คน และการร่วมบริจาคให้กับพรรคอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ทะลุ 10 ล้านบาทโดยเร็วที่สุด นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพรรคประชาชนได้ผ่านทางช่องทางออนไลน์ โดยในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.) จะจัดกิจกรรมทั่วประเทศ เพื่อเปิดรับสมาชิกและเปิดรับบริจาค โดยใน กทม.จะมีงานใหญ่ที่ Stadium One บรรทัดทอง

ขณะที่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราแสดงให้เห็นแล้วว่า กระบวนการทำให้พรรคประชาชนเป็น สถาบันทางการเมืองสืบต่ออุดมการณ์พรรคตั้งแต่อนาคตใหม่และก้าวไกล วันนี้จากที่ตนได้รับการเลือกเป็นหัวหน้าพรรค สามารถออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าภารกิจของตนและพวกเราจากนี้ เรามีภารกิจสร้างรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งปี 2570 ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า และต้องตั้งเป้าหมายให้สูงยิ่งขึ้น นอกจากการเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ในปี 2566 เป้าหมายขั้นต่ำของเรา เราอยากจะชนะการเลือกตั้งโดยสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา

ด้านนายศรายุทธ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา ซึ่งเราตระหนักเรื่องนี้ดี ตั้งแต่สร้างพรรคอนาคตใหม่ เราจำเป็นต้องมีคนจำนวนมาก นี่คือที่ที่ต้องสร้างพรรคให้เป็นสถาบัน เราคาดหวังว่า ในอนาคตอันใกล้เราจะเพิ่มโครงสร้างการเมืองท้องถิ่น และคาดหวังที่สมาชิกพรรคจะไปเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศ และถ้าเราทำสำเร็จ

ขณะที่ นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า ข่าวที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวว่า แคนดิเดตหัวหน้าพรรคคนใหม่มีใครบ้าง และตนเองเป็นหนึ่งในนั้น คาดเดากันไปต่างๆ นานา ตนไม่มีความประสงค์ที่จะเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่ต้น

ประกาศเดินหน้าแก้ 112 ไม่ประมาททำรอบคอบขึ้น
 
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังจากนี้จะลดเพดานลงหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราไม่เคยสื่อสารว่าลดเพดานอะไร เรายืนยันว่าเราเสนอร่างแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 เพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งพรรคฝั่งตรงข้าม และคำวินิจฉัยศาลไม่ได้สั่งห้ามแก้ไข แน่นอนว่าเราไม่ประมาท เราทำทุกอย่างรอบคอบ คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา จนยุบพรรคก้าวไกล เราต้องศึกษาอย่างดี แต่คิดว่าพวกเราต้องผลักดันเดินหน้าการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนนี้ที่ปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราเซ็นเซอร์ปิดปากตัวเอง เราเสนอบนหลักการ เราไม่ได้มุ่งเป้าเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันใด ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เราต้องยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรายืนยันเดินหน้าทุกอย่างต่อ แต่เราต้องกลับมาศึกษาข้อกฎหมายทุกอย่างด้วย

“การที่บอกว่าเจรจาบนโต๊ะ ในส่วนการทำหน้าที่ในส่วนนี้ หรือพรรคก้าวไกลถูกคำสั่งยุบพรรค จะทำให้การทำงานของเราเปลี่ยนไปหรือไม่ คิดว่าวิธีการปฏิบัติ เราไม่ประมาท เราต้องกลับมาทบทวนเรียนรู้ในส่วนคำตัดสินศาล และประเด็นกฎหมายต่างๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือหลักการและความเชื่อ เราต้องการทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” นายณัฐพงษ์ ระบุ

ส่วนคดีความของ 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ที่อยู่ระหว่างไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คำร้องของ ป.ป.ช. คิดว่าต่างจากการยุบพรรค เพราะเป็นศาลยุติธรรม ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี การกระทำของ สส. แต่ละคน องค์ประกอบอาจต่างกันบ้าง บางคนอาจเรียกร้องแทนผู้ชุมนุม บางคนใช้สิทธิประกันตัว แต่ทุกคนได้ลงนามเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งแต่ละคนมีสิทธิชี้แจงกันไป แต่โดยในส่วนของตนไม่มีข้อกังวล

เมื่อถามว่า พรรคประชาชนที่เพิ่งตั้งมานี้จะมีอายุสั้นหรือยืนยาว นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สั้นหรือยืนไม่ได้อยู่ที่เรา ที่ผ่านมาเห็นว่าสั้นหรือยืนอยู่ที่กลุ่มขั้วอำนาจเก่า ใช้เครื่องมือในการทุบทำลายเรา เอาสิ่งเหล่านั้นมากดทับไม่ให้เราเดินหน้าต่อก็ไม่ได้ เพราะประชาชนอาจขาดศรัทธาในตัวเรา ยืนยันจะเดินหน้าต่อไป แต่ไม่ประมาท ทำงานด้วยความสุขุมรอบคอบ ดังนั้นอายุยืนหรือไม่อยู่ที่พวกเขาด้วย และอยู่ที่ประชาชนสนับสนุน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา พรรคพยายามมุ่งมั่นแก้ไขเรื่องใหญ่ๆ เช่น มาตรา 112 นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราเองไม่ได้พุ่งเป้าที่จะเสนอแก้ไขมาตรา 112 อย่างเดียว แต่เสนอแก้ไขเรื่องนโยบายอื่นๆ ด้วย ตนขอสื่อสารไปยังประชาชนที่อาจยังไม่ได้โหวตเลือกเราในอดีต พรรคประชาชนในปัจจุบันไม่ได้พุ่งเป้าใดๆ ต่อสถาบันทางการเมืองใดๆ ก็ตาม เราตั้งใจเสนอนโยบายต่างๆ ในโครงสร้างสังคมไทยที่ยังมีปัญหา นี่คือวิธีสื่อสารตรงไปตรงมา ทำงานหนัก และจริงใจ เราคิดว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้น

ด้านนายพริษฐ์ กล่าวเสริมว่า ในฐานะมีส่วนร่วมจัดทำนโยบายตอนก้าวไกล เรื่องมาตรา 112 เป็น 1 ใน 300 นโยบายที่เราเสนอไป ถ้าเราไปดูสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ เราพยายามแก้ไขทุกสิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศนี้ ตั้งแต่พรรคก้าวไกลที่เราดำเนินการมา เราเสนอร่างกฎหมายไป 60 กว่าฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระจายอำนาจ ยกระดับขนส่ง แก้ที่ดินทำกิน คุ้มครองสิทธิแรงงาน นี่คือสัญญาของพรรคที่พร้อมแก้ทุกปัญหาของประชาชน ถ้าย้อนไปดูในการเลือกตั้งปี 2566 ไม่ใช่ก้าวไกลพรรคเดียว บางพรรคอาจพูดถึงเนื้อหา หรือการบังคับใช้ นี่เป็นคำถามที่ควรถามทุกพรรคเช่นกันว่า ปัญหานี้จะมีทางออกเช่นไร

เมื่อถามย้ำว่า การลดเพดานลง จะรักษาอุดมการณ์เหมือนเดิมได้หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อะไรที่เราเคยมองว่าเป็นปัญหา เรายังมองว่าเป็นปัญหาอยู่ แต่เข้าใจว่าพื้นที่ที่หาทางออกนั้นแคบลงด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลไม่ได้ห้ามแก้ไขมาตรา 112 เลย ยังมีพื้นที่เหลืออยู่ อาจเป็นเรื่องการพิจารณาอัตราโทษ สิทธิร้องทุกข์กล่าวโทษ เป็นต้น ดังนั้นพื้นที่ที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในการพูดคุยหาทางออกเรื่องนี้คือพื้นที่ของสภาฯ และพูดคุยบนพื้นฐานทางออก ภายใต้กรอบของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งที่ผ่านมาคือ คำวินิจฉัยที่ 3/2567 และ 10/2567

ส่วนการตั้งกรรมการบริหารพรรคแค่ 5 คน เพื่อหลบเลี่ยงอุบัติเหตุทางการเมืองในอนาคตใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การตั้งกรรมการบริหารพรรค 5 คน ไม่ได้หลบเลี่ยงอันตราย แต่เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำกฎหมาย เราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงไร้รอยต่อ จากพรรคที่ถูกยุบสู่พรรคประชาชน เราต้องการหาสมาชิก 1 แสนคน บริจาค 10 ล้านภายใน 1 เดือน พวกเรายังเปิดกว้าง หารือในพรรคว่า การออกแบบโครงสร้างพรรคอย่างที่เรียนไปตอนต้น จะมีกรรมการบริหารพรรคสัดส่วนมากขึ้นหรือไม่ ยังหารือในพรรคได้ต่อ อาจได้ข้อสรุปปลายเดือนหน้าจะมีการประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

หน้าแรก » การเมือง