วันจันทร์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 13:12 น.

การเมือง

 รศ.ดร.รุ่งเรือง พิทยศิริ ระบุ "ของจริงกับของเก๊"

วันจันทร์ ที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 11.39 น.

หลังจากสองสัปดาห์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้ารับตาแหน่ง ผมมีความรู้สึกว่า สถานการณ์มันไม่ได้แย่มากเหมือนอย่างที่คนกังวล หรือตลาดกังวล เพราะคนที่เคยบริหารมาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าอะไรที่สุดโต่งเกินไป มันจัดการไม่ได้จริง วาทกรรมการหาเสียงทางการเมือง ย่อมเป็นเรื่องเหนือความเป็นจริงเสมอ ไม่ว่าชาติไหนๆก็คล้ายๆกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเขาแคร์ความรู้สึกประชาชนมาก เริ่มต้นตั้งแต่เรื่อง TikTok ถูกแบนครับ เพราะคนอเมริกันใช้งานแอปนี้มากๆ เรียกว่ามีอิทธิพลต่อความคิดและวัฒนธรรมประจาวันเลยก็ว่าได้

เรื่อง TikTok จึงเป็นเรื่องที่ทาให้ทรัมป์ชะลอการกดดันประเทจจีน เพราะต้องการทอดไมตรีให้เรื่องการซื้อขายบางส่วนของ TikTok จบลงด้วยง่ายๆ มีการทอดไมตรีเชิญประธานาธิบดีจีนมาเยือน มีการโทรจัพท์ไปพูดคุยก่อน มันเป็นบทนุ่มๆที่ทาให้บรรยากาจตลาดดีขึ้นมาก เพื่ออาจหวังว่าจะได้สามารถทาให้ TikTok ขายกิจการบางส่วนให้กับเพื่อนร่วมงานคนสาคัญอย่างนายอีลอน มัสก์ ได้ ซึ่งก็คงจะทาให้นายมัสก์ ได้กาไรทางมูลค่าธุรกิจมากมายมหาจาล ส่วนทรัมป์จะได้อะไร คงคิดเอาเองครับ คิดได้ แต่ไม่ควรเขียน

ท่าที่ต่อมาคือเรื่องการออกมาพูดเรื่องเงินเฟ้อบ่อยมาก เพราะเขารู้ว่าตลาดกังวลถึงนโยบายการขึ้นกาแพงภาษีของเขาจะทาให้เงินเฟ้อพุ่ง เขาจึงพูดเรื่องนี้บ่อยมากว่ายังไงเขาก็จะต้องกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยต่อไปให้ได้ และโยนความผิดพลาดของเรื่องเงินเฟ้อที่ผ่านมาทั้งหลายไปให้เฟด นโยบายของเขาในเรื่องการขุดและผลิตน้ามันจากใต้ดินที่มีจานวนมหาจาลนี้ แน่นอนว่าถ้าอเมริกาผลิตน้ามันออกมามาก ย่อมช่วยประคองราคาสินค้าในประเทจได้บ้างแน่นอน มันก็ส่วนหนึ่งที่จะหยิบมาขายได้ว่าจะทาให้เงินเฟ้อไม่สูง ในขณะที่เจรษฐกิจจะผลิตสินค้าออกมามากขึ้นก็เช่นกัน จึงเป็นเหตุผลหลักทาไมเขาถึงต้องถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ด้านโลกร้อน

ผมเชื่อว่า หากทรัมป์ ไม่ขึ้นกาแพงภาษีจากจีนมากจนเกินไป สหรัฐน่าจะประคองเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งแรง หรือควบคุมได้ก็เป็นได้ เพราะสหรัฐเองก็ผลิตอาหารภายในประเทจและส่งออกจานวนมาก และเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้เขาก็ประกาจขึ้นอัตราภาษีจุลกากรจากแม็กซิโก แคนาดา ร้อยละ 25 และจีน ร้อยละ 10 ซึ่งของแม็กซิโก กับแคนาดา เป็นไปตามที่คาดหมายก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนของจีน ถือว่าเป็นอัตราเริ่มต้นที่เป็นตัวเลขน้อยที่สุด คงต้องดูว่าจะมีการขยับขึ้นอีกอย่างไร หากไม่มีไประยะยาวนาน ถือว่าเป็นข่าวดีแน่นอน ผมเองก็เชื่อว่าคงจะมีการปรับขึ้นเป็นขั้นบันได แต่ช้าๆ เพราะทรัมป์คงต้องเกรงใจ อีลอน มัสก์ ที่มีโรงงานและธุรกิจในจีนจานวนมาก ตอนนี้โฟกัสของการขึ้นกาแพงภาษี กลับไปอยู่ที่ยุโรปมากกว่าจีนครับ ซึ่งคาดว่าจะขึ้นเยอะแน่นอน

ผมมีความรู้สึกว่าการขึ้นภาษียุโรปกับแคนาดานั้น มันเป็นเรื่องที่มีการเชื่อมโยงกับนาโต้ เรื่องการอุดหนุนงบประมาณด้านการป้องกันประเทจ ซึ่งต้องการใช้นโยบายมาบีบให้ต้องยอมอย่างใดอย่างหนึ่ง จริงๆแล้วนโยบายของทรัมป์ หากวิเคราะห์จริงๆ เป็นนโยบายที่ดี ที่คิดเพื่อผลประโยชน์ของประเทจในที่สุด แน่นอนว่านักการเมืองคงคิดบางเรื่องที่เขาหาเงินทุนหาเสียงของตัวเองบ้าง เป็นธรรมดา แต่เขาก็ทาให้เจรษฐกิจของเขาเติบโตและหมุนเวียน ทาให้หุ้นขึ้น ประหยัดงบประมาณด้านกลาโหมของตนเอง ในการไปโอบอุ้มประเทจอื่นๆ

มันไม่ค่อยเหมือนบ้านเรา ที่นโยบายมันทาให้เจรษฐกิจหมุนเวียนไม่ได้ ถึงแม้ว่ารู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่การใช้เงินที่กระตุ้นให้เกิดการหมุนของเม็ดเงินได้มากๆ หรือ 5--6 รอบตามทฤษฎีการเงินยุคใหม่ แต่ก็เลือกที่จะทา เพราะมันเป็นเรื่องหาเสียงได้ง่ายๆ ส่วนโครงการอื่นๆ มันก็เป็นเรื่องงานก่อสร้าง งานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นเรื่องผูกพันกันมาหลายรัฐบาลต่อเนื่อง ส่วนเรื่องใหม่ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องคิดเก่ามานมนานแล้ว ไม่ว่าจะการถมทะเล การสร้างสะพานบกเชื่อมสองชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเรื่องเอนเตอร์เทนเมน คอมเพล็กซ์ สามเรื่องนี้ พูดมานานมากแล้วครับ ร่วมๆ 20ปี แล้ว ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย ชาวบ้านอาจไม่ทราบ แต่ผมเคยอยู่ด้วยกันมา ผมทราบดีโครงการถ้าดีจริง ไม่ต้องมาหยิบยกคุยกันนานถึง 20 ปีหรอกครับ มันก็คงมีคนแย่งเอาไปทาแล้ว จะบอกว่าคนอื่นเก่งคิดไม่ทัน คงไม่ใช่ เพราะเด็กยุคใหม่ คนหนุ่มรุ่นใหม่ มีเก่งๆมากมาย ดูอย่างนายเหลียง เหวินเฟิง อายุเพียง 40 ปี ผู้ก่อตั้ง DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพ ด้าน AI ที่ผลิตแอป search engine เหมือนพวก Google ChatGPT เขาสามารถสร้างแอปที่ต้องลงทุนมากมายมหาจาล แต่ลงทุนจริงด้วยเงินไม่กี่ล้านเหรียญ ผมคงไม่สาธยายพูดเรื่องนี้ในตอนนี้นะครับ เพียงแต่กาลังจะบอกว่า คนเก่งในบ้านเราก็มีมากมาย แม้ไม่ได้อยู่ในการเมือง เขาก็มีกลุ่มคนที่มีจักยภาพพูดคุยกันและรู้จักกันกับนักการเมือง มหาเจรษฐีจานวนมาก มีบริษัททาซอฟแวร์ดีๆหลายแห่ง มีบริษัทที่ปรึกษาคิดงานโครงการเมกะโปรเจคมากมาย แต่โครงการที่ถูกเอามาจึกษาตอนนี้ ไม่เคยมีคนสนใจจริงจัง เพราะมันไม่คุ้มค่าทางการเงินจริงๆนะสิครับ
หากไม่คุ้มค่าทางการเงิน แต่คุ้มค่าทางเจรษฐกิจก็จะยังดีครับ เพราะจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น แม้กระนั้นผมเองก็ยังไม่เห็นช่องเท่าไหร่ เว้นแต่เรื่องการคมนาคมระบบรางซึ่งเป็นโครงสร้างระบบแกนของประเทจที่จาเป็นต้องพัฒนา เพื่อความสะดวก ประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อม โครงการหลักๆพวกรถไฟทางคู่ รถไฟไทยจีน มันก็ต่อเนื่องจากทุกๆรัฐบาล โครงการค่อยๆเขยิบทีละคืบ

การจะมาสร้างเอนเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ นั้น ผมถามหน่อยครับว่าบ้านเรามีห้างสรรพสินค้ามากมายไหม มีจนแย่งคนเดิน ขนาดที่พึ่งเปิดใหม่คนยังเดินน้อยเลย เรามีสถานบันเทิงจริงๆเยอะไหม มีจนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลก หากโครงการนี้จะดัง ก็คงดังเพราะจะมีกาสิโน แต่พอมีเสียงคนต้านก็จะบอกว่าสัดส่วนของกาสิโน นั้นน้อยนิดเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทาทาไมครับ

เรื่องการพัฒนาพื้นที่เพื่อทาเอนเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ อย่างที่ดินที่ท่าเรือคลองเตยนั้น เขาก็จึกษามา 20 ปีแล้วครับ มันก็เป็นเรื่องของรัฐวิสาหกิจที่จะคิดจะทาเองได้ ไม่ต้องให้ถึงขั้นจะต้องออกกฎหมายอะไรขึ้นมา ที่จะต้องออกกฎหมายเพราะต้องจาเป็นมาควบคุมธุรกิจพนันมากกว่าครับ ผมว่านะครับ วันนี้ถ้าอยากจะเริ่มจริงๆ มาเริ่มทาโครงการนาร่องธุรกิจพนันออนไลน์ก่อนดีไหมครับ มันมีระบบการกากับดูแลที่ประเทจอังกฤษ กับสหรัฐ เขาทาไว้อย่างเข้มงวดมาก เราแค่ลอกมาก็จบง่ายๆแล้ว และยังเก็บภาษีเข้ารัฐได้มากมายอีก

ผมว่าปัญหาของระบบเจรษฐกิจไทยวันนี้ คือคนเขาไม่มั่นใจในเจรษฐกิจไทย คนเขานี้คือทั้งในประเทจและต่างประเทจ เขาไม่มั่นใจว่าเจรษฐกิจชาติจะเดินหน้าไปด้วยโมเมนตัมได้อย่างไร ในเมื่อประเทจรอบข้างเขาเติบโตดีกว่าหมด ทาไมเขาต้องมาเสี่ยงกับประเทจที่เติบโตต่ากว่าจักยภาพ (เราเองก็ยอมรับเองด้วย) นโยบายรัฐไม่มีโครงการไหนสามารถเชิดหน้าชูตาได้เลยว่าเป็น Flag Ship หรือเรือธงในการฟื้นฟูเจรษฐกิจ ต่างกับนโยบายทรัมป์ นโยบายของเขา ทาให้เขาได้คะแนนนิยมถล่มทลาย แต่นโยบายของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ทาให้ชนะเลือกตั้งมานะครับ

นโยบายที่มีแต่สร้างหนี้ แต่เงินไม่หมุน มันย่อมทาให้เจรษฐกิจโตได้น้อย จริงๆที่ยังโตได้ ถึงแม้จะเท่ากับธนาคารแห่งประเทจไทย บอกที่ร้อยละ 2.9 ก็ล้วนแล้วแต่โตเพราะระบบเจรษฐกิจเราอ้างอิงจากภาคเอกชนถึงประมาณร้อยละ 80 หากอ้างอิงจากโครงการรัฐเจรษฐกิจคงจะหดตัวมากกว่า เพราะอะไรครับ สังเกตได้ง่ายๆ หากหนี้สาธารณะเรามีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แสดงว่า รายได้จากการขยายตัวทางเจรษฐกิจ มันโตช้ากว่ารายจ่ายทบเงินต้นหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ย แสดงว่าการบริหารงานภาครัฐมันทาให้เจรษฐกิจโตติดลบ
ผมถึงพยายามบอกตลอด พูดทุกครั้งว่า การที่จะทาให้เจรษฐกิจฟื้นได้ ไม่ต้องให้ใครมาป่าวประกาจ จะเป็นผู้นาจากที่ไหนมาพูดให้เกิดความมั่นใจหรอก แต่จาเป็นต้องทาโครงการกระตุ้นเจรษฐกิจที่ถูกทาง อะไรผิดอย่าทา เหมือนบางโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสามสนามบิน เชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา รู้กันทั้งรู้ว่าโครงการนี้ยังไงก็ขาดทุน เจ๊งแน่นอน ก็ยังไม่ยอมเลิกโครงการ ในที่สุดก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ถ้ายังถูไถไปเรื่อยๆ ก็คงในที่สุด จอดแน่นอน

การบริหารความเชื่อมั่น มันต้องมีทั้ง substance คือตัวเนื้อหา ความน่าเชื่อถือ คือผู้นา หรือคนพูด และ Execution คือการทาจริง ถ้าคนพูดมีความน่าเชื่อถือแต่ไม่มีเนื้อหา แม้จะมาพูดสร้างความหวังยังไง เอาแนวคิดที่ดียังไง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ครับ ถ้าไม่มีการทาจริงจัง ไม่ยอมจัดการอะไรจริงจัง จะเพราะไม่กล้า หรือโครงการไม่ดีจริง อย่างใดอย่างหนึ่ง หลายเรื่องเราเอามาพูดมันอยู่ในแผนยุทธจาสตร์ของทุกกระทรวงอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีใครทาครับ ผมยกตัวอย่าง การถมทะเลชายฝั่งเพื่อแก้น้าท่วมและดินกัดเซาะ มันมีโครงการอยู่แล้วที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพียงแต่ไม่ได้มีการจัดสรรงบมาทาซักทีไงครับ อย่างเรื่องปลาหมอคางดา คนนาเข้ามาก็ลอยนวล ทาไมรัฐบาลไม่ฟ้องเป็นเรื่องเป็นราวครับ ถ้าเป็นสหรัฐ คนทาน้ามันรั่วในทะเลต้องชดใช้รัฐมากมายมหาจาล ลองดูกรณีจึกษามากมายครับ

ดังนั้นเราถึงเห็นไงครับว่า การออกมาขายฝันว่าจะทาโน้นทานี่ แล้วหุ้นยังตกลงต่อเนื่องมากกว่าเพื่อนบ้านมากมาย จนจะหลุด 1300 แล้ว นี่ไงครับคือเหตุผลว่าทาไม
 

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง