วันที่ 28 มีนาคม 2568   ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประธานสภากรุงเทพมหานคร และอดีตอนุกรรมการการโยธาและผังเมือง สภากรุงเทพฯ เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 ลึก 8.2 กม. ส่งผลถึงตึกที่กำลังก่อสร้างย่านจตุจักรความสูงประมาณ 30 ชั้นถล่ม คาดว่ามีผู้ติดค้างอยู่ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายร้อยชีวิต

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า จากเหตุการณ์นี้ การก่อสร้างอาคารสูงในประเทศไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศเราอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว การใช้เหล็กเสริมกันแผ่นดินไหวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าอาคารสามารถทนต่อแรงกระทำจากแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารสูง

ทั้งนี้ ผู้ก่อสร้างอาคารสูงคำนึงถึงความแข็งแรงและความทนทานต่อแรงกระทำจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง การใช้เหล็กเสริมที่มีคุณภาพสูงและการออกแบบโครงสร้างให้สามารถกระจายแรงได้อย่างเหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ เหล็กเสริมและเหล็กปอกเป็นวัสดุที่สำคัญในการเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโครงสร้าง ทำให้สามารถทนต่อแรงกระทำจากแผ่นดินไหวได้ดียิ่งขึ้น

ดร.ณพลเดช กล่าวต่อไปว่า การกำหนดพื้นโพสเทนชั่นเป็นระบบที่ใช้เหล็กเสริมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและควการกำหนดมีกระจายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ รวมถึงการควบคุมแนวดิ่งในการก่อสร้าง เพื่อให้โครงสร้างมีความสมดุลและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ นอกจากนี้ เหตุการณ์นั่งร้านถล่มที่ปทุมธานีเมื่อปีที่ผ่านมา ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐานการก่อสร้างและการควบคุมความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด กอปกับการใช้ scaffolding ในการก่อสร้างอาคารสูงมั่นคงหรือไม่ เนื่องจาก scaffolding ที่ไม่มั่นคงอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้าง

ทั้งนี้ ตนจะเสนอให้ กทม. ตรวจสอบความถูกต้องของตึกว่าก่อสร้างตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ต่อไป