"ศ.สุชาติ" ชี้ผู้ว่าแบงค์ชาติ​พูดว่าเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ฉุดรั้งศก.​ น่าจะเข้าใจไม่ถูก ​ เพราะเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไป​ ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง​ ส่งออกลดลงทำให้ศก.ไทยไม่เติบโต​ ประชาชนยากจน​ รัฐควรทำ​ให้เงินเฟ้อเป็น​ ​3-4% จึงจะฟื้นศก.​ไทยได้

วันที่ 9 พฤษภาคม 2568  ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกแถลงวิจารณ์ถ้อยแถลงของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กรณีระบุว่า "เงินเฟ้อต่ำไม่ได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจ" โดยเห็นว่าเป็นความเข้าใจผิดในหลักเศรษฐศาสตร์มหภาค

ดร.สุชาติอธิบายว่า อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไป เช่น 1% หรือติดลบ ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เนื่องจากสูตรอัตราแลกเปลี่ยน (e = Pt/Pw) แสดงให้เห็นว่าเมื่อราคาสินค้าไทย (Pt) เพิ่มขึ้นช้ากว่าราคาสินค้าโลก (Pw) ค่าเงินบาทจะยิ่งแข็ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี

“เงินบาทของไทยแข็งกว่าเงินดองเวียดนามถึง 1.6 เท่า และแข็งกว่าเงินรูปีอินเดียถึง 2.58 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ทั้งเวียดนามและอินเดียสามารถส่งออกได้มาก เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องปีละ 6-7% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับ 3-5% ทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9-12% ต่อปี” ดร.สุชาติกล่าว

ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยที่ใช้นโยบายเงินเฟ้อต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งเกินจริง แข็งกว่าเกือบทุกประเทศในโลก การส่งออกและท่องเที่ยวลดลง การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีหดหาย และประชาชนยากจนลงเรื่อยๆ

ดร.สุชาติยังวิจารณ์การที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวกับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ว่า "เงินเฟ้อต่ำไม่เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ" ว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมยกตัวอย่างจากญี่ปุ่นหลังการลงนาม Plaza Accord ปี 1985 ที่ทำให้เงินเยนแข็งอย่างมาก จนส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซายาวนานหลายทศวรรษ

"การบริหารเศรษฐกิจต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักปรัชญาเศรษฐกิจมหภาค หากขาดความเข้าใจ ประเทศจะไม่สามารถพัฒนาได้ ประชาชนจะยิ่งลำบากมากขึ้น" ดร.สุชาติกล่าว พร้อมเสนอว่ารัฐควรตั้งเป้าให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 3-4% เพื่อส่งเสริมการส่งออก ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยกระดับรายได้ประชาชนไทย