วันอาทิตย์ ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568 08:07 น.

การเมือง

“ร่มธรรม” ชำแหละงบ 69 ย้ำรัฐต้องกล้าลดรายจ่ายไม่จำเป็น!  ชง 5 ข้อปรับปรุง มุ่งแก้ปากท้อง-กระจายอำนาจ-สิ่งแวดล้อม-สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 10.00 น.

 เมื่อวันที่ 30  พฤษภาคม 2868  ที่รัฐสภาเมื่อช่วงดึกวานนี้ 28 พ.ค.2568 - นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในวาระที่สภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยย้ำว่าการพิจารณางบประมาณครั้งนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่สุดวาระหนึ่งของสภา เพราะเป็นแผนการใช้เงินภาษีของประชาชนในการบริหารประเทศตลอดปี ซึ่ง สส. ในฐานะผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า งบประมาณจะตอบโจทย์ความเดือดร้อนและเตรียมประเทศให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด

นายร่มธรรม เปิดเผยว่าจากการสอบถามประชาชน พบว่าต้องเผชิญความยากลำบากหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจปากท้อง คุณภาพชีวิต ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการจัดการน้ำ ซึ่งเพื่อนสมาชิกหลายท่านก็ได้สะท้อนไปแล้วบางส่วน อีกทั้งสถานการณ์โลกที่ผันผวน วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง ทำให้ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป

สำหรับงบประมาณปี 2569 ที่มีวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท แต่รายได้รัฐบาลคาดการณ์อยู่ที่ 2.92 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้เพิ่มเติมถึง 8.6 แสนล้านบาท ส่งผลให้หนี้สาธารณะขึ้นมาอยู่ที่ 67.3% ต่อ GDP ซึ่งใกล้ชนเพดานที่ 70% โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 70.1% และงบลงทุน 22.9% ซึ่งนายร่มธรรมเห็นว่าควรปรับสัดส่วนงบลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น และสิ่งสำคัญกว่างบประมาณที่เพิ่มขึ้นในหลายกระทรวงคือ "ความคุ้มค่า" และ "การตอบโจทย์" ความท้าทายของยุคสมัยและปัญหาประชาชนอย่างแท้จริง

จากโครงสร้างงบประมาณปีนี้ นายร่มธรรมเสนอว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ของภาครัฐและเพิ่มรายได้ในกระเป๋าประชาชนไปพร้อมกัน พร้อมทั้งกล้าลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ซับซ้อน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตงบประมาณ โดยมีข้อเสนอแนะ 5 ประการ ดังนี้

1. เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง จากการที่ค่าครองชีพสูงขึ้น สินค้าราคาแพงขึ้น แต่รายได้ประชาชนกลับลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ผันผวน ธุรกิจรายเล็กซบเซา หนี้ครัวเรือนยังสูงน่ากังวล แม้ภาคท่องเที่ยวและเอกชนจะฟื้นตัว แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีต่างชาติ สินค้าราคาถูก และทุนสีเทา รัฐบาลจึงต้องจัดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย/ผู้สูงอายุ สนับสนุนธุรกิจรายเล็กให้เข้าถึงแหล่งทุน การตลาด และลดอุปสรรค พร้อมช่วยเหลือเกษตรกรด้านราคา ต้นทุน การส่งออก และแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ นายร่มธรรมย้ำว่าต้องประคองเศรษฐกิจเดิม (โดยเฉพาะเกษตร) และส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ไปพร้อมกัน เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล สีเขียว และสร้างสรรค์

2. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น  โครงสร้างพื้นฐานคือการกระจายโอกาสและความเจริญ แต่หลายพื้นที่ชนบทยังขาดถนนคุณภาพ ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า และไฟส่องสว่าง รัฐบาลควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในชนบทและพื้นที่ห่างไกล รวมถึงเร่งพัฒนาโครงการคมนาคมขนาดกลาง/ใหญ่ในจังหวัดและภูมิภาค เช่น สะพาน รถไฟ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระจายรายได้

รัฐบาลควรเร่งกระจายงบประมาณและอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง อบจ. อบต. และเทศบาล ให้สามารถตอบโจทย์ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้ โดยชี้ว่างบประมาณอุดหนุนท้องถิ่นของไทยคิดเป็นเพียง 10.3% ของงบประมาณรวม และรายได้ท้องถิ่นอยู่ที่ 29.43% ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมาย 35% ที่ควรจะเป็น และงบประมาณส่วนใหญ่ยังคงเป็นเงินฝากของรัฐบาล เหลือให้ท้องถิ่นพัฒนาน้อยมาก

3. เร่งยกระดับการศึกษาและพัฒนาทักษะประชาชน การศึกษาไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทั้งคุณภาพและทรัพยากร โรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลขาดครูและงบประมาณ ทำให้เด็กเสียโอกาส รัฐบาลจึงควรผลักดัน พ.ร.บ. การศึกษาฉบับใหม่ ลงทุนกับการปรับหลักสูตรให้เท่าทันโลก เน้นทักษะแห่งอนาคต การคิดวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์ พร้อมพัฒนาศักยภาพครู และลงทุนพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการและเศรษฐกิจยุคดิจิทัล โดยเชื่อว่าการลงทุนในคนเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีที่สุด

4. เร่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการน้ำ จากภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างประจักษ์ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน และสภาพอากาศแปรปรวน แม้จะเห็นงบประมาณด้านการบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น จึงขอเสนอให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยเน้นจัดสรรงบประมาณด้านน้ำตามความต้องการจากท้องถิ่นและประชาชนเป็นสำคัญ เน้นการบูรณาการบริหารจัดการเชิงพื้นที่/เชิงลุ่มน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำและพื้นที่กักเก็บน้ำขนาดเล็กให้กระจายทุกพื้นที่

แม้ว่างบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น แต่ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจและความรุนแรงของปัญหา นายร่มธรรมได้ยกตัวอย่าง กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่มีภารกิจจัดหาแหล่งน้ำและพัฒนาฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยเฉพาะในพื้นที่ขาดแคลนน้ำและพื้นที่ห่างไกล แต่ได้รับงบประมาณรวมกันเพียง 13,000 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 1% ของงบประมาณประเทศทั้งหมด เทียบกับกรมชลประทานที่ได้ 87,000 ล้านบาท หรือกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับเพียง 794 ล้านบาท กรมควบคุมมลพิษ 860 ล้านบาท และกรมทรัพยากรธรณี 948 ล้านบาท จึงได้ฝากให้คณะรัฐมนตรีเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว และจัดตั้งกองทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ

5. เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในเชิงรุก โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีมาตรการทางการค้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม และมาตรการกีดกันภาษีที่กระทบไทยโดยตรง จึงต้องเร่งปรับตัว แม้ว่ารัฐบาลทำได้ดีในด้านการท่องเที่ยวและการรักษาดุลยภาพระหว่างมหาอำนาจ แต่ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการส่งออก การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ๆ ผ่านกรอบความร่วมมือที่มีอยู่และพันธมิตรใหม่ๆ 

จากการที่ตนในฐานะกรรมาธิการการต่างประเทศ พบว่าความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังมีช่องว่างและโอกาสอีกมากในการยกระดับความร่วมมือ ทั้งการค้า โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม การท่องเที่ยว ไปจนถึงอุตสาหกรรมฮาลาล จึงเชื่อว่าการรวมพลังในอาเซียนมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง พัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค และร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ

สำหรับในช่วงท้าย นายร่มธรรมย้ำว่าทุกประเด็นที่อภิปราย ทั้งเศรษฐกิจปากท้อง เกษตรกร สวัสดิการผู้สูงอายุ โครงสร้างพื้นฐาน การกระจายอำนาจ การปฏิรูปการศึกษา สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ล้วนเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญ และหลายโครงการเป็นสิ่งที่รัฐบาลของพรรคในยุคหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่นายชวน นายอภิสิทธิ์ นายจุรินทร์ จนมาถึง ดร.เฉลิมชัย ได้ริเริ่มและวางรากฐานที่ดีไว้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสภาฯ จะได้ร่วมกันปรับปรุงงบประมาณให้สอดคล้องกับความท้าทายของประชาชน และวิงวอนให้ผู้รับงบประมาณทุกหน่วยงานใช้เงินอย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อเจ้าของเงินตัวจริงคือประชาชนทุกคน
 

หน้าแรก » การเมือง