วันอังคาร ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568 23:05 น.

การเมือง

แรงงานเฮ! "พิพัฒน์"  แจงงบ 69  คลอดกู้เงินดอกต่ำ เสริมสภาพคล่อง-สร้างรายได้

วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 16.00 น.

"พิพัฒน์" แจงงบ 69 พัฒนาแรงงานไทย ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ AI  Semi Conductor และเทคโนโลยีไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ทักษะดิจิทัล ยันดูแลเข้มข้นความปลอดภัยในการทำงาน ย้ำทยอยปรับค่าแรง 400 บาท โดยต้องดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  เผย เทงบประกันสังคมกว่่า 3 หมื่นล้าน ให้ภาคเอกชน กู้ดอกต่ำ รักษาการจ้างงาน 

วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงประเด็นชี้แจงต่อสื่อมวลชน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยตอบทุกข้อกังวลของฝ่ายค้านอย่างชัดเจนและตรงประเด็น 

นายพิพัฒน์ กล่าวถึงภาพรวมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของกระทรวงแรงงาน 
ที่เพิ่มขึ้นว่าในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยการจัดซื้องบครุภัณฑ์ระบบคอมพิวเตอร์และ AI ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และ ระบบ AI ที่จัดซื้อเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรในการเพิ่มทักษะให้แรงงานในด้าน IT และ AI ประกอบกับวัสดุอุปกรณ์เดิมมีอายุการใช้งานที่ไม่ทันสมัยแล้ว ส่วนการพัฒนาฝีมือแรงงานแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานนั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้พัฒนายกระดับศักยภาพแรงงาน โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ โดยได้ upskill และ reskill ด้านทักษะทันสมัย ร่วมกับบริษัทชั้นนำ เช่น  Microsoft  ในด้านทักษะ AI อบรม เกี่ยวกับ Semi Conductor และเทคโนโลยีไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และอบรมทักษะดิจิทัล นอกจากนี้ ยังดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษา ทั้งระดับ อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษาในการผลิตแรงงานที่กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน พร้อมทั้งการเทียบโอนวุฒิการศึกษาผ่าน Credit Bank รวมทั้งส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการพัฒนาทักษะลูกจ้างของตนเองเพื่อนำมารับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีกว่า 4.4 ล้านคน ทั้งยังได้เพิ่มทักษะอาชีพในกลุ่มแรงงานอิสระ โดยมีกลไกในการติดตามผู้เข้ารับการอบรมว่า ได้มีการประกอบอาชีพตามที่ได้ฝึกอบรมไปหรือไม่

ในส่วน การพัฒนาทักษะแรงงาน ไม่ได้ทำเฉพาะแรงงานที่อยู่ในประเทศแต่จะทำให้กับแรงงานที่ได้ส่งออกไปต่างประเทศด้วย โดยได้มีการลงไปสำรวจในแต่ละประเทศว่าต้องการแรงงานเท่าไหร่เพื่อที่จะได้มีการเตรียมการในการป้อนแรงงานของไทยไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีเรามีรายได้จากแรงงานที่อยู่ต่างประเทศ ปีละไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงในสภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นั้น ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ จึงไม่สามารถดำเนินการปรับค่าแรงทั่วประเทศได้ โดยการปรับขึ้นค่าแรงเมื่อ 1 มกราคม 2568 จำนวน 4 จังหวัด 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวนแรงงาน 1,716,276 ราย ได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการค่าจ้างได้พิจารณาแล้วว่า เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านฐานการผลิต และเป็นเมืองเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง มีแรงงานในพื้นที่ที่มีค่าจ้างเกิน 400 บาท เกิน 80% แล้ว ส่วนในระยะถัดไปจะได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบ และทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นค่ำ 400 บาท ให้ครอบคลุมในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึง ความปลอดภัยในการทำงานและการบาดเจ็บของผู้ใช้แรงงานมากขึ้น ในเรื่องนี้ได้ให้นโยบายกับสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือ สสปท.คิดวิธีการป้องกัน ซึ่ง สสปท.ได้ดำเนินการอบรมด้านความปลอดภัยของแรงงาน เราได้ขยายกลุ่มแรงงานนอกระบบ เช่น ไรเดอร์ แรงงานข้ามชาติ รวมไปถึงแรงงานไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศ จะต้องได้รับการอบรมเรื่องความปลอดภัย ในกลุ่มของไรเดอร์ที่ได้จัดทำคู่มือความปลอดภัยและจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ เพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย มาตั้งแต่ปี 2567 โดยอ้างอิงงานวิจัยที่พบว่าแรงงานกลุ่มนี้ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานสูงขึ้นเรื่อย นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบและดูแลคุณภาพชีวิตแรงงานกรณีเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือการประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง เพื่อลงพื้นที่ตรวจความปลอดภัยในการทำงานของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึง โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3 ที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้ลงนามกับธนาคาร 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยเครดิต และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า โครงการนี้เพื่อช่วยสถานประกอบการได้เข้าถึงแหล่งทุนด้วยดอกเบี้ยต่ำ มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาการจ้างงานในระบบประกันสังคม กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก และช่วยพยุงธุรกิจทุกระดับทั่วประเทศ โดยวงเงินรวมของโครงการอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบจากกองทุนประกันสังคม 20,000 ล้านบาท และงบกลางจากรัฐบาลอีก 10,000 ล้านบาท โครงการนี้เปิดให้สถานประกอบการที่จ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือนติดต่อกัน และให้คำมั่นจะรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 80% ตลอดระยะเวลาสัญญา โดยมีวงเงินสินเชื่อต่อรายแบ่งตามขนาดธุรกิจ ได้แก่ สถานประกอบการที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สามารถกู้ได้สูงสุด 15 ล้านบาท, กรณีมีลูกจ้าง 201–500 คน วงเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท และสำหรับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 500 คนขึ้นไป วงเงินสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 2.35% ต่อปีในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่กรณีไม่มีหลักทรัพย์หรือใช้บุคคลค้ำประกัน ดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75% ต่อปี โดยโครงการนี้ในระยะที่ 3 นี้จะมีขอบเขตการช่วยเหลือที่กว้างขึ้น ครอบคลุมสถานประกอบการในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยลดผลกระทบด้านแรงงานในช่วงเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน

หน้าแรก » การเมือง