วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568 13:05 น.

การเมือง

"กรมหม่อนไหม" เร่งเดินหน้าผลักดันการเลี้ยงไหมอีรี ให้เป็นอาชีพเสริมที่มั่นคง พัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สร้างรายได้ เพิ่มโอกาสส่งออกอย่างยั่งยืน 

วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 18.43 น.

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568  นายนวนิตย์ พลเคน อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งใช้ระยะเวลาเพาะปลูกยาวนานประมาณ 8–12 เดือนจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรจะมีเวลาว่างและไม่มีรายได้ กรมหม่อนไหมจึงเล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกร ด้วยการนำ "ไหมอีรี" มาเลี้ยง โดยใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสำหรับไหมอีรีได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรระหว่างรอการเก็บเกี่ยว ไหมอีรี จัดเป็นไหมที่สามารถเลี้ยงด้วยพืชหลากหลายชนิด โดยเฉพาะใบมันสำปะหลัง และใบละหุ่ง จึงเหมาะสมกับระบบเกษตรแบบผสมผสาน และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกรไทยที่ปลูกมันสำปะหลังอยู่แล้ว การเลี้ยงไหมอีรี่ไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายรังไหมเท่านั้น แต่ยังสามารถนำดักแด้ไปแปรรูปเป็นอาหารโปรตีนสูงสำหรับคนและสัตว์ สอดคล้องกับนโยบายยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 
 
สำหรับการเลี้ยงไหมอีรี ใช้ระยะเวลาสั้นเพียง 55–60 วัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสภาพอากาศ โดยปัจจุบันกรมหม่อนไหมมีการส่งเสริมให้แกเกษตรกรเลี้ยงไหมอีรีในหลายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ตาก นครสวรรค์ ขอนแก่น หนองคาย บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ อุดรธานี และสระแก้วซึ่งกรมหม่อนไหม เป็นผู้ดำเนินการผลิตไข่ไหมอีรี เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปเลี้ยง โดยบางกลุ่มเน้นเลี้ยงเพื่อขายรังไหมเป็นวัตถุดิบ หรือสาวเป็นเส้นไหมอีรี เกษตรกรที่เลี้ยงไหมอีรีมีทั้งเป็น เกษตรกรรายย่อย รวมกลุ่ม หรือบชปลายน้ำ ทั้งในด้านการเลี้ยงไหม แปรรูป และออกแบบผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี เช่น ผ้าทอ เสื้อผ้าแฟชั่น ของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดต่าง ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
 
สำหรับจุดเด่นอีกประการของไหมอีรี คือความสามารถในการทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Indicator) ที่ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของพืชที่ใช้เลี้ยง หากใบพืชมีสารเคมีตกค้างหรือปนเปื้อนในปริมาณมาก ไหมอีรีจะไม่ทำรัง หรืออาจตายทันที ทำให้สามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าแปลงพืชนั้นปลอดภัยหรือไม่ จึงเป็นเครื่องมือธรรมชาติที่ช่วยส่งเสริมการทำเกษตรปลอดสารพิษและเกษตรอินทรีย์ในระยะยาวไหมอีรียังถูกจัดให้เป็น "ไหมอหิงสา" เนื่องจากรังของไหมอีรีเป็นรังเปิด เกษตรกรสามารถปาดรังออกเพื่อนำดักแด้ไปใช้โดยไม่ต้องต้มฆ่าตัวหนอนเหมือนการเลี้ยงไหมทั่วไป ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์จากไหมอีรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิทธิสัตว์และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์จากไหมอีรีจึงอยู่ในกลุ่ม Eco Products หรือผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่กำลังเติบโตในตลาดทั้งในและต่างประเทศ  รวมทั้ง กรมหม่อนไหม ยังให้ความสำคัญกับการอบรมและส่งเสริมองค์ความรู้ทั้งในด้านเทคนิคการเลี้ยง การจัดการกลุ่ม และการตลาด โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อในระดับชุมชน เมือง และตลาดออนไลน์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาอาชีพเลี้ยงไหมอีรีให้เป็นรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง
 
อย่างไรก็ตามกรมหม่อนไหม ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ได้ดำเนิน “โครงการ Eri Silk Eco print เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นสร้างอาชีพให้ชุมชน” โดยนำร่องวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรโครงการปฏิรูปที่ดินพื้นที่เอกชน ต.พระธาตุขิงแกง อ.จุน จ.พะเยา ซึ่งมีความต้องการสร้างรายได้เสริมจากการเลี้ยงไหมอีรี โดยใช้พื้นที่แปลงรวมปลูกมันสำปะหลัง 30 ไร่ เป็นอาหารหนอนไหม สร้างห่วงโซ่การผลิตครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอีรี่พิมพ์ลายใบไม้จากธรรมชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนตำบลพระธาตุขิงแกง โดยใช้เส้นไหมอีรี่ ร่วมกับการย้อมสีธรรมชาติและพิมพ์ลวดลายจากใบไม้ในท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอีรี Eco Print ภายใต้แบรนด์ “Yakzaa - ยักษ์ษา” ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยทุนวัฒนธรรมและทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
 
นายนวนิตบอกอีกว่า ไหมอีรี ไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ของผ้าไหมยุคใหม่ที่ยั่งยืนและไม่เบียดเบียน แต่ยังเป็นช่องทางสร้างรายได้อีกทางจากการขายดักแด้โปรตีนคุณภาพสูง กรมหม่อนไหมจึงส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรีให้เป็นอาชีพเสริมที่มั่นคง ของเกษตรกรไทยในยุคเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
 
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง