วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 14:40 น.

การเมือง

ชาวพุทธตั้งคำถามในสังคมไทยร่วมสมัย "สตางค์–สตรีเป็นภัยของพระสงฆ์หรือแค่วาทกรรม"

วันเสาร์ ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 18.01 น.

ประเด็นเกี่ยวกับ “สตางค์และสตรี” ในบริบทของพระภิกษุสงฆ์มิใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย หากแต่เป็นหัวข้อที่วนเวียนอยู่ในความรับรู้สาธารณะ ทั้งในแง่ของคำสอนทางพระธรรมวินัยและในบริบทของข้อวิจารณ์ต่อพฤติกรรมของพระบางรูปในทางที่อาจคลาดเคลื่อนจากจริยธรรมภิกษุ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการจัดเสวนาทางวิชาการหัวข้อ “สตางค์–สตรีเป็นภัยของพระสงฆ์หรือแค่วาทกรรม” เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ สำนักงานองค์การศาสนาพุทธโลกแห่งประเทศไทย สี่แยกลำสาลี เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดเวทีถกเถียงอย่างเป็นระบบ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายแวดวงร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นประกอบด้วย  ดร. นิยม  เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐ พระครูวรกิจจานุกูล ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัด พิชัย กรุงเทพมหานครศาสดาจารย์ด็อกเตอร์ฐาปนา บุญหล้า ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม วุฒิสภา ทนายราเชนทร์ ศิวะเสาร์แก้ว รองประธานศาสนาพุทธโลก ผู้ดำเนินรายการนายคำรณ ยอดรื่น

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอข้อถกเถียงและมุมมองจากการเสวนาดังกล่าว พร้อมวิเคราะห์ความหมายเชิงวาทกรรมของคำว่า “สตางค์–สตรี” ในบริบทพระสงฆ์ และตั้งคำถามถึงความเหมาะสมหรือคลาดเคลื่อนของการใช้วาทกรรมดังกล่าวในสังคมไทยร่วมสมัย

1. พุทธวินัย: ระเบียบแห่งภิกษุและข้อจำกัดด้านโลกีย์
ในทางพระธรรมวินัย ภิกษุย่อมต้องละเว้นจากทรัพย์สินเงินทอง (นิสสัคคียปาจิตตีย์) และการสัมผัสหญิงเพศตรงข้าม (ปาราชิก 1 หากร่วมประเวณี) ซึ่งสะท้อนถึงอุดมคติแห่งการสละทางโลกเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น การถือครอง “สตางค์” หรือการข้องเกี่ยวกับ “สตรี” จึงเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันทางโลกที่ภิกษุต้องวางลง

อย่างไรก็ตาม ในการปฏิบัติจริง ความท้าทายย่อมเกิดขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่พระสงฆ์ต้องดำรงชีวิตอยู่ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่การปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น การรับกิจนิมนต์หรือการสื่อสารออนไลน์

2. “สตางค์–สตรี”: เมื่อศีลธรรมกลายเป็นวาทกรรม
ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจในเวทีเสวนาว่า การที่สังคมมักใช้คำว่า “พระห้ามยุ่งกับสตางค์และสตรี” จนกลายเป็นวลีติดปากนั้น อาจสะท้อนถึง การทำให้ศีลธรรมกลายเป็นวาทกรรมทางสังคม มากกว่าจะตั้งอยู่บนฐานของเจตนารมณ์ในพระธรรมวินัยโดยแท้

ศาสตราจารย์ ดร.ฐาปนา บุญหล้า เสริมประเด็นว่า วาทกรรมดังกล่าวอาจกลายเป็นกลไกกดทับหรือคาดโทษพระสงฆ์โดยอัตโนมัติ โดยไม่พิจารณาบริบทหรือข้อเท็จจริง และบางครั้งยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายความชอบธรรมของคณะสงฆ์

3. สื่อสารธรรมะในโลกใหม่: พระสงฆ์กับบริบทสมัยใหม่
พระครูวรกิจจานุกูล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชัย ได้เสนอแนะว่า ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่การใช้หรือไม่ใช้สตางค์ หรือพูดคุยกับสตรีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับเจตนา ความเหมาะสม และการรักษาศีลในระดับที่ทำให้สาธุชนยังเชื่อมั่นในสมณเพศ เช่น การใช้บัตร ATM โดยมีโยมหรือไวยาวัจกรดูแลเงินบัญชี หรือการตอบไลน์จากสตรีในเรื่องงานศาสนา จึงไม่ควรถูกมองในเชิงลบหรือตีความเหมารวม

4. มิติทางกฎหมายและสังคม: ข้อจำกัดและช่องว่าง
ทนายราเชนทร์ ศิวะเสาร์แก้ว ชี้ว่า แม้พระธรรมวินัยจะเป็นระบบควบคุมพฤติกรรมในทางศาสนา แต่ในทางกฎหมายยังมีความคลุมเครือว่า “สตางค์” ที่ได้รับจากการทำบุญนั้นควรถูกตีความอย่างไร หรือพระที่ถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับสตรี ควรได้รับกระบวนการยุติธรรมแบบใด เพื่อไม่ให้เกิดความอยุติธรรมจากข่าวลือหรือการดิสเครดิตโดยไร้หลักฐาน

5. สรุปและข้อเสนอแนะ
คำว่า “สตางค์–สตรี” ในบริบทของพระสงฆ์ไทย อาจไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนดทางธรรมวินัย แต่ยังทำหน้าที่เป็น “วาทกรรมควบคุมทางศีลธรรม” ซึ่งหากถูกใช้โดยขาดความเข้าใจ ก็อาจก่อให้เกิดการเหมารวม หรือเป็นเครื่องมือทำลายศรัทธาต่อคณะสงฆ์

ข้อเสนอแนะจากเวทีเสวนาชี้ว่า ควรมีการสื่อสารทางศาสนาอย่างละเอียดและรอบด้านในยุคสมัยใหม่ เปิดพื้นที่ให้พระสงฆ์อธิบายบทบาทในสังคมร่วมสมัยโดยไม่ถูกตีกรอบด้วยวาทกรรมแคบ ๆ พร้อมทั้งมีการทบทวนบทบาทขององค์กรศาสนา รัฐ และสื่อมวลชนในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง