วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 17:59 น.

การเมือง

ประสิทธิภาพการสื่อสารของรัฐบาลไทย ต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา 

วันพุธ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 16.18 น.

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการสื่อสารภาครัฐไทยต่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงปี พ.ศ. 2568 โดยเฉพาะในประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและการใช้กำลังทางทหาร รัฐบาลไทยโดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้แสดงท่าทีในการปรับปรุงกระบวนการประชาสัมพันธ์และการทูตเชิงรุก เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะใช้แนวคิดด้านการสื่อสารภาครัฐ (government communication) และการทูตสาธารณะ (public diplomacy) เป็นกรอบวิเคราะห์ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของรัฐบาลไทยในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในระดับนานาชาติ

1. บทนำ
ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาสู่ความสนใจของประชาคมโลกอีกครั้ง หลังการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งตามมาด้วยการกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายละเมิดก่อน และใช้กำลังเกินกว่าเหตุ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อความมั่นคงระดับภูมิภาค หากยังเป็นความท้าทายเชิงภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในมิติของการสื่อสารกับประชาคมโลก

2. กรณีศึกษา: การตอบสนองของรัฐบาลไทย

2.1 คำชี้แจงของนายภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรีแสดงท่าทีชัดเจนว่า รัฐบาลไทยมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้กระทำการที่ละเมิดต่อพลเรือน และเน้นย้ำว่าเป้าหมายทั้งหมดเป็นเป้าหมายทางทหาร ขณะเดียวกันได้ยอมรับว่าอาจต้องปรับกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ โดยมอบหมายให้ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดน (ศบ.ทก.) ทำงานร่วมกับสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) เพื่อดำเนินการสื่อสารอย่างเป็นระบบ

2.2 การดำเนินการด้านการทูต
ไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อประเทศมหาอำนาจ 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และมาเลเซีย พร้อมทั้งเชิญผู้แทนทูตทหารต่างชาติลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเขตชายแดน นับเป็นการตอบสนองเชิงรุกอย่างหนึ่งที่มีศักยภาพในการเสริมความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

2.3 ข้อเสนอจากภาคการเมือง
พรรคประชาชนเสนอแนวทางการทูตเชิงรุก 5 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย

การจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์หยุดยิงภายใต้บทบาทนำของไทย

การยืนยันด้วยหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ถึงการละเมิดของกัมพูชา

การเปิดประเด็นอื่นที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของผู้นำกัมพูชา

การตั้งคณะทำงานเพื่อสื่อสารกับสื่อต่างประเทศอย่างเป็นระบบ

การรวมศูนย์ข่าวสารและผู้แทนสื่อสารของรัฐบาลให้เป็นเอกภาพ

3. การวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิด

3.1 การสื่อสารภาครัฐ (Government Communication)
การสื่อสารของรัฐบาลต้องอาศัยความรวดเร็ว ชัดเจน และมีความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาเชิญคณะทูตและสื่อมวลชนต่างชาติลงพื้นที่ก่อนโดยที่ฝ่ายไทยยังไม่ทันได้ตอบสนองในระดับสื่อมวลชนโลก อาจสะท้อนถึงความล่าช้าในการวางแผนสื่อสาร และขาดยุทธศาสตร์ล่วงหน้า ทั้งที่สถานการณ์ชายแดนเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและต้องการการเตรียมความพร้อมเชิงข่าวสารอย่างรัดกุม

3.2 การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy)
ในยุคปัจจุบัน การชี้แจงข้อเท็จจริงต่อรัฐบาลประเทศอื่นไม่เพียงพอ หากต้องขยายวงสื่อสารไปยังประชาชนทั่วโลก สื่อมวลชน และองค์กรภาคประชาสังคม การตั้งคณะทำงานเพื่อสื่อสารกับสื่อต่างประเทศตามที่พรรคประชาชนเสนอ จึงสอดคล้องกับแนวคิดการทูตสาธารณะสมัยใหม่ ที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์ประเทศผ่านความโปร่งใสและการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง

4. จุดแข็งและจุดอ่อนของการสื่อสารรัฐบาลไทย

จุดแข็ง    จุดอ่อน
มีท่าทีชัดเจนต่อข้อกล่าวหา    ขาดความต่อเนื่องในการสื่อสาร
เริ่มนำเสนอข้อเท็จจริงผ่านช่องทางสื่อภาครัฐ    ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามสื่อสารนำหน้า
มีการเชิญคณะทูตทหารลงพื้นที่    ยังไม่มีการสื่อสารผ่านนักวิชาการหรือบุคคลภายนอกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือจากหลายมิติ
มีการประท้วงต่อประเทศที่เกี่ยวข้อง    ขาดความชัดเจนว่าใครเป็นโฆษกหลักของรัฐบาล

5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย

สร้างศูนย์กลางการสื่อสารระดับวิกฤต ภายใต้หน่วยงานที่มีความพร้อมทั้งด้านสารสนเทศ สื่อสารมวลชน และการต่างประเทศ เพื่อรวมศูนย์การสื่อสารในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

บูรณาการหน่วยงานด้านสื่อสาร เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย NBT และหน่วยข่าวกรอง เพื่อสร้างแนวทางสื่อสารในทิศทางเดียว

อบรมโฆษกรัฐบาลและผู้แทนการทูตในเชิง Crisis Communication เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่กระทบภาพลักษณ์ของประเทศ

จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้าน Public Diplomacy ประกอบด้วยนักการทูต นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญสื่อสารระหว่างประเทศ เพื่อปฏิบัติภารกิจเชิงรุกในเวทีโลก

ใช้ Soft Power สนับสนุนความน่าเชื่อถือ เช่น การเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้าร่วมสังเกตการณ์ หรือจัดเวทีสัมมนาระหว่างประเทศเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

6. บทสรุป
การสื่อสารของรัฐบาลไทยต่อปัญหาชายแดนกับกัมพูชาในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในด้านการยืนยันข้อเท็จจริง และการประท้วงเชิงการทูต แต่ยังขาดความต่อเนื่อง ฉับไว และความเป็นระบบในเชิงกลยุทธ์ การทูตและการข่าวเชิงรุกต้องไม่ใช่เพียงการตอบโต้ข้อกล่าวหา แต่ควรเป็นการวางแผนสื่อสารอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเข้าใจและความน่าเชื่อถือในเวทีโลก ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว
 

หน้าแรก » การเมือง