วันศุกร์ ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2568 13:00 น.

การเมือง

"ณพลเดช" สวนกลับ รอง ผบ.ตร. ปมย้าย พศจ. หากพบพระทำผิด 3 รูป ชี้เกินอำนาจ-ขัดหลักนิติธรรม

วันพุธ ที่ 06 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 13.01 น.

ที่ปรึกษากรรมาธิการศาสนา ชี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอยู่นอกอำนาจตำรวจ การโยกย้ายต้องยึดตามกฎหมายข้าราชการพลเรือน ห่วงมาตรการเข้มอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจ-พระในพื้นที่ เตือนการเหมารวมอาจกลายเป็นบาปกรรมทางใจ

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษากรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงประเด็นข่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. พร้อมหน่วยงานราชการ ร่วมกันแถลงข่าวเปิดปฏิบัติการ “ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา” โดยนำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายทั่วประเทศ

ในประเด็นข่าวดังกล่าว พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวว่า “ทางเจ้าหน้าที่ได้ตกลงกับสำนักพุทธไว้แล้ว ต่อไปนี้ หากจังหวัดใดมีพระกระทำผิดวินัยเกิน 3 รูป จะย้ายสำนักพุทธจังหวัดทันที ใช้มาตรฐานเดียวกับตำรวจ” ซึ่งในเรื่องนี้ ผมได้โทรศัพท์ไปสอบถามสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับข่าวที่รอง ผบ.ตร. ระบุว่า หากจังหวัดใดมีพระหรือเณรทำผิดวินัยเกิน 3 รูป จะย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทันที ได้รับคำชี้แจงว่า ไม่ถูกต้อง เนื่องจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานราชการพลเรือน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ในโครงสร้างหรืออำนาจบังคับบัญชาของตำรวจ การโยกย้ายข้าราชการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน และหลักนิติธรรม บุคคลภายนอกไม่มีอำนาจสั่งการ การดำเนินการใดๆ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีตามระเบียบวินัยของราชการเท่านั้น

สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวว่า พระที่มีตำแหน่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่นั้น ผมขอชี้แจงว่า เจ้าอาวาสถือเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (16) และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 ที่กำหนดให้พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปกครองคณะสงฆ์ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แม้จะไม่ใช่ข้าราชการโดยตรง แต่กฎหมายให้สถานะนี้โดยเฉพาะ (ฎีกา 304/2517) ส่วน “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 3 หมายถึง ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ทำงานในหน่วยงานของรัฐ คณะกรรมการที่มีอำนาจตามกฎหมาย และบุคคลที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่เหล่านี้ สรุปคือ เจ้าอาวาสมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายเฉพาะเจาะจง หากจะพูดให้ชัดเจน พระได้รับ “นิตยภัต” ไม่ใช่เงินเดือนตามพระราชบัญญัติใดๆ ในระบบราชการ แต่เป็นเงินพระราชทานสำหรับอุดหนุนการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้มีตำแหน่งปกครองตามราชประเพณี ดังนั้น พระจึงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐ (ถ้าระดับเจ้าอาวาสได้รับเงินพันกว่าบาทต่อเดือน ก็คงไม่ควรเรียกว่าเงินเดือนนะครับ)

ในประเด็นที่รองบังคับบัญชาตำรวจแห่งหนึ่ง มีพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งฝากความกังวลมาว่า เป็นห่วงตำรวจรุ่นน้องหรือตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะในต่างจังหวัดหรือในหลายพื้นที่ ตำรวจมักจะขอให้พระช่วยเหลือ ไม่ว่าจะขอด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ เช่น ขออุปกรณ์เครื่องใช้ การสนับสนุนอาหารในการจัดงาน ขอสนับสนุนเงิน หรือให้ทำวัตถุมงคลเพื่อนำไปสร้างรายได้เพื่อการกุศลต่างๆ หากมีมาตรการเข้มงวด อาจกระทบกับความสัมพันธ์และการช่วยเหลือกัน

ในหลักธรรมพระพุทธศาสนา มีองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่าง คือ พระศาสดา พระธรรมคำสอน ศาสนบุคคล ศาสนสถาน และพิธีกรรม ซึ่งทุกองค์ประกอบ พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญ หากมีการกล่าวหาหรือดูหมิ่น ก็ถือว่าเป็นการลบหลู่พระรัตนตรัย การพูดจาไม่เหมาะสมก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาในทางอ้อม สำหรับกรณีการจับกุมพระภิกษุที่กระทำผิดจริง ก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่ขอให้ระวังการพูดเหมารวม เพราะจะส่งผลเสียต่อองค์กรทางศาสนา และอาจเป็นบาปกรรมตามมาในภายหลัง 
 

หน้าแรก » การเมือง