วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:42 น.

การเมือง

พปชร. - ภท.จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543–2544 ชี้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา เสนอใช้กฎหมายสากลและหลักฐานประวัติศาสตร์ปกป้องอธิปไตย

วันพฤหัสบดี ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.12 น.

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังรับหนังสือร้องเรียนจากเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่าต้นตอของความขัดแย้งมีรากเหง้ามาจากการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 รวมถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงและไม่เคยได้รับการรับรองจากฝ่ายสยาม แต่กลับถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบจนก่อให้เกิดข้อพิพาทด้านพรมแดนอย่างต่อเนื่อง

ม.ล.กรกสิวัฒน์ ระบุว่า การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่ยอมให้กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200000 เป็นเอกสารใช้ในการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนทางบก และ MOU ปี 2544 เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเล ที่นำเส้นที่ละเมิดกฎหมายสากลของกัมพูชามาแสดงในแผนที่แนบท้ายโดยลากเส้นทะเลจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด มายังเกาะกูด ลากเลยเข้าไปกลางอ่าวไทย ซึ่งถือว่าละเมิดอธิปไตยของไทยและไม่สอดคล้องกับพระบรมราชโองการในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2516 ที่กำหนดแนวเขตทะเลไว้อย่างชัดเจน MOU ทั้งสองฉบับถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เพราะยอมเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ชายแดนบนบกและทะเลอ่าวไทยโดยไม่ชอบธรรม อีกทั้งเอ็มโอยูทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน 

พรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยควรยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียเปรียบอีกต่อไป พร้อมเสนอให้ใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเท่านั้นเป็นกรอบการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเล เช่นเดียวกับที่ไทยเคยดำเนินการกับเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ส่วนกรณีเขตแดนทางบก ควรยึดตามแนวหน้าผาจากช่องบกถึงช่องสะงำและจากช่องสะงำถึงจังหวัดตราดใช้หลักเขตที่ 1–73 ที่สยามและฝรั่งเศสเคยทำไว้ และหากมีการเจรจาเขตแดนในอนาคต ควรนำสนธิสัญญาสันติภาพโตเกียว ซึ่งระบุว่าจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณเป็นของสยาม มาใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบการเจรจาด้วย

“พลังประชารัฐจะยืนหยัดปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว เพื่อความมั่นคงของแผ่นดินและประโยชน์สูงสุดของประชาชน” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวย้ำ 

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ความว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีการหยิบยกข้อมูลที่เกี่ยวเนื่อง จาก MOU 
ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา มากล่าวถึงมากยิ่งขึ้นนับแต่มีการปะทะกัน และพบการเปิดเผยข้อมูลจากทางการไทยว่าทางฝั่งกัมพูขาได้ละเมิด MOU มากกว่า 600 ครั้ง
 
พรรคภูมิใจไทย ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ถึงแม้ในห้วงเวลาดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแรง ร่วมใจ ช่วยดูแลพี่น้องประชาชน ตามศูนย์อพยพใน 4 จังหวัด (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังติดตามสถานการณ์ในประเด็นดังกล่าวอยู่โดยตลอด โดยฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่า MOU ทั้งสองฉบับส่งผลกระทบต่อเขตแดน และปัจจุบัน ไทยกำลังเผชิญการรุกล้ำดินแดนอย่างชัดเจน ขณะที่ฝ่ายที่ต้องการคงไว้ให้เหตุผลว่าจำเป็นเพื่อรักษา ช่องทางการเจรจาระหว่างประเทศ 
 
โดยที่ MOU ปี 2543 เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ หลักเขตแดนทางบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังมีข้อพิพาทคาราคาซัง ส่วน MOU ปี 2544 เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตทางทะเลที่อุดมด้วยทรัพยากรมหาศาล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ
พรรคภูมิใจไทย เห็นว่า หากแม้ในอนาคตจะยกเลิก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ไทย และกัมพูชา 
ก็สามารถเจรจาทวิภาคีกันได้ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ เหมาะสมที่สุดที่สภาผู้แทนราษฎรควรหยิบประเด็น MOU 43 และ 44 
มาพิจารณาเพื่อนำไปสู่การยกเลิก 
 
โดยทางพรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทาง
การยกเลิกที่ส่งผลกระทบน้อยที่สุด เมื่อกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นมา พิจารณามีข้อมูลครบถ้วนแล้ว เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน และขั้นตอนสุดท้าย ควรฟังเสียงประชาชน โดยการจัดทำประชามติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับ
การยอมรับจากสังคมทั้งประเทศ
 
พรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง พิจารณาสนับสนุนแนวทางการดำเนินการนี้ เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรื่องของชาติบ้านเมือง อยู่เหนือการเมืองระหว่างพรรค อยู่เหนือการเมืองในประเทศ เรื่องของชาติบ้านเมืองคือการรวมใจ รักษาชาติสืบไป
 

หน้าแรก » การเมือง