วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568 03:59 น.

การเมือง

แนะไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง  รับมือเกมการเมืองกัมพูชาในเวทีโลก ปมปัญหาชายแดน

วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 09.38 น.

ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ทั้งในมิติข้อพิพาทดินแดน มรดกทางประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปัญหาล่าสุดได้ยกระดับจากข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดน ไปสู่การเมืองระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงกับมหาอำนาจโลก โดยมีความพยายามของกัมพูชาในการดึงมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางความขัดแย้ง อันเป็นลักษณะเดียวกับที่ยูเครนใช้ต่อรัสเซีย

สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของไทยทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค หากไทยไม่สามารถวางยุทธศาสตร์ที่รอบด้านและประสานความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ทันต่อเกมการเมืองระหว่างประเทศ ประเทศไทยอาจเผชิญสถานการณ์เสื่อมถอยในเวทีโลก และถูกบีบคั้นจากทั้งมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้าน

1. วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของกัมพูชา

กัมพูชาในยุคของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวางเกมการเมืองระหว่างประเทศที่เฉียบคม

การแยกตัวจากจีนบางส่วนและเปิดสัมพันธ์กับสหรัฐฯ – ฮุน มาเนต ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากสถาบันทหารในสหรัฐ ใช้โอกาสนี้ในการดึงสหรัฐเข้ามามีบทบาทในภูมิภาค โดยเฉพาะในความขัดแย้งชายแดนกับไทย

การใช้มวลชนเป็นเครื่องมือทางการทูต – การเดินขบวนในกัมพูชาไม่ใช่เพียงการแสดงออกทางการเมืองภายใน แต่เป็นการส่งสัญญาณต่อประชาคมโลก เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขอการสนับสนุนจากนานาชาติ

การขยายประเด็นจากชายแดนสู่เวทีโลก – จากความขัดแย้งที่เริ่มต้นในพื้นที่ชายแดน กัมพูชาพยายามผลักดันให้ประเด็นนี้กลายเป็นวาระระหว่างประเทศที่มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง

หากเปรียบเทียบกับกรณีรัสเซีย–ยูเครน จะเห็นว่า กัมพูชาเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “ประเทศเล็กท้าทายประเทศใหญ่” โดยใช้มหาอำนาจเป็นตัวคานดุล

2. ความเปราะบางทางการเมืองของไทย

ปัจจัยที่ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ได้แก่

สถาบันการเมืองไม่เข้มแข็ง – ความขัดแย้งภายในและการเมืองแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทำให้ไทยไม่สามารถแสดงพลังความเป็นเอกภาพต่อเวทีโลก

การโจมตีผู้นำรัฐบาล – ความขัดแย้งชายแดนถูกขยายไปเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมืองในประเทศ เช่น ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวนายกรัฐมนตรีไทย ส่งผลให้ไทยตกเป็นเป้าของการเมืองระหว่างประเทศโดยตรง

ความเสี่ยงทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ – กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร คดีคลิปเสียงที่โยงถึงฮุน เซน  

3. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไทยพลาดเกมการเมือง

ความขัดแย้งลุกลาม – จากข้อพิพาทชายแดนขยายสู่ข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยมีสหรัฐและมหาอำนาจอื่นเข้ามามีบทบาท

การสูญเสียความชอบธรรมในเวทีโลก – หากไทยไม่สามารถสื่อสารเชิงรุกได้ อาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายละเมิดหรือเป็นประเทศที่กีดกันสิทธิของเพื่อนบ้าน

ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสถานะผู้นำ – ดังเช่นกรณี “จอนนี่ มือปราบ” และ “พระราชวิสุทธิประชานาถ” ที่ถูกเปลี่ยนสถานะในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่าภาพลักษณ์ในสังคมโลกสามารถพลิกผันได้อย่างรวดเร็ว

4. ทางรอดของประเทศไทย

เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ที่รอบคอบและยืดหยุ่น ดังนี้

การรวมพลังภายในชาติ – รัฐบาล กองทัพ และประชาชนต้องประสานงานและทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ลดการประชาสัมพันธ์เพื่อตัวเอง และมุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติ

การจัดการกับความขัดแย้งภายในประเทศ – การเมืองภายในต้องก้าวข้ามความแตกแยก ไม่เปิดช่องให้ต่างชาติใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลาย

การเสริมสร้างขีดความสามารถทางการทูต – ไทยต้องสื่อสารเชิงรุกในเวทีโลก ไม่ปล่อยให้กัมพูชาเป็นฝ่ายนำในการสร้างวาทกรรม

การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ – ไทยควรใช้บทบาทในอาเซียนและความสัมพันธ์กับมหาอำนาจต่าง ๆ อย่างสมดุล ไม่ยึดติดมหาอำนาจเพียงฝ่ายเดียว

การสนับสนุนคณะเจรจาและนักการทูตของไทย – สังคมไทยต้องให้กำลังใจและสร้างเอกภาพเบื้องหลังคณะผู้แทนการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มพลังการต่อรอง

ดังนั้น ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชากำลังขยายตัวสู่มิติการเมืองระหว่างประเทศ โดยมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นกรณีที่คล้ายกับรัสเซีย–ยูเครน หากประเทศไทยไม่สามารถวางเกมได้อย่างรอบด้าน การเมืองภายในและความเปราะบางของสถาบันการเมืองอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันจากภายนอก

ทางรอดของไทยคือการสร้างเอกภาพภายในชาติ เสริมสร้างยุทธศาสตร์การทูตที่ทันต่อสถานการณ์ และรักษาสมดุลกับมหาอำนาจโลก ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ “การประสานพลังของชาติ” คือเกราะป้องกันสำคัญที่สุดในการรักษาเอกราชและผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว

"นิด้าโพล"เผยสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาร้าวลึก ห่วงเหตุสู้รบปะทุ-มองมหาอำนาจแทรกแซง-ไม่เชื่อใจ
 

ขณะที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจเรื่อง "สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์ปกติ!" จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น

1,310 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 44.96% เห็นว่าเหตุการณ์ไม่ปกติเลย และน่ากังวล กลุ่มตัวอย่างรองลงมา 29.16% เห็นว่าเหตุการณ์ปกติ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ ตามมาด้วย 23.74% เห็นว่าเหตุการณ์ยังคงไม่ปกติเท่าไรนัก และ 2.14% เห็นว่าเหตุการณ์ปกติจริง ไม่มีอะไรน่ากังวล

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 64.73% ยังเห็นว่าประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพราะต้องการผลประโยชน์ กลุ่มตัวอย่างรองลงมา 17.10% เห็นว่าไทยควรปฏิเสธการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ตามมาด้วย 8.85% เห็นว่าประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เพราะต้องการให้เกิดสันติภาพจริง ๆ 6.11% ระบุไม่เชื่อว่าประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง ส่วนที่เหลืออีก 3.21% ไม่สนใจ

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 54.12% มีความคิดเห็นต่อประเทศกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย รองลงมา 29.39% ระบุว่าเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ ตามมาด้วย 14.20% ระบุว่าเป็นฝั่งตรงข้าม, 1.91% ระบุว่ายังคงเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม ส่วนที่เหลือ 0.38% ไม่สนใจ


 

 

หน้าแรก » การเมือง