เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568   เวลา 10.15 น. ที่ห้องสมรรถนานา โรงแรมนูโวซิตี้ ถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีในฐานะนายกมูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" เป็นประธานเปิดการปฐมนิเทศครอบครัวอุปถัมภ์โครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" รุ่นที่ 45 โดยมี นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ อาทิ นายวิชัย ศรีขวัญ รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต เลขาธิการมูลนิธิฯ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อาทิ นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายชานน วาสิกศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล ปลัดจังหวัดนนทบุรี นายสมพันธ์ จารุมิลินท รองประธานกรรมการบริหารบริษัททรู วิชั่นส์ จำกัด และตัวแทนครอบครัวอุปถัมภ์ 160 ครอบครัว จากจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สระบุรี และอ่างทอง ร่วมรับฟัง
 
นายกมูลนิธิฯ กล่าวว่า ครอบครัวอุปถัมภ์ทั้งเก่าและใหม่ คือ "ผู้ใหญ่ใจดี" ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นอย่างมาก เพราะว่า เยาวชน ๆ ที่มาทั้ง 320 คน บางคนยังไม่เคยมีโอกาสได้ออกมาจากพื้นที่ ไม่มีโอกาสได้ออกมานอกจังหวัด นอกอำเภอ ซึ่งนั่นคือความรู้สึกของเยาวชนที่เคยสะท้อนถ่ายทอดให้มูลนิธิฯ ได้รับรู้มาโดยตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา และการที่เขาไม่มีโอกาสได้ออกจากบ้าน แล้วได้ออกมาสักครั้งหนึ่งก็เปรียบเสมือนลูกนกที่เพิ่งเริ่มฝึกบิน ล้วนมีความกล้า ความกลัว ความกังวลที่ต้องจากบ้านห่างกับพ่อแม่ ดังนั้น การที่เขาได้มีโอกาสมาอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์นี้เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะได้รับความรัก ความเอ็นดู ความเข้าใจจากผู้ที่ถือได้ว่าเป็น "ผู้ใหญ่ใจดี" เป็น ป๊ะ มะ เหมือนกับ ป๊ะ มะ แท้ ๆ ของเขา อันจะทำให้เกิดความผูกพันอันลึกซึ้ง และความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้จะอยู่ในความรู้สึกของเขาตลอดไป
 
"การที่ทุกท่านได้เสียสละทุ่มเทด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่เรียกว่า "ผู้ใหญ่ใจดี"  เป็นคำที่มีความครบถ้วนอยู่ในตัวของมันเองว่า ความใจดีของพวกเราทุกคนจะหล่อหลอมให้เยาวชนที่มาอยู่ด้วยนั้นมีความรู้สึกที่เหมือนกับเขาได้รับการดูแลจากพ่อแม่ของเขาเอง ส่งผลให้เกิดทัศนคติที่ดี ด้วยการสัมผัสถึงความเกื้อหนุน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นสังคมที่เราไม่ทิ้งกัน ดังที่ท่าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ได้กล่าวหลายครั้งในการอบรมเยาวชนว่า "ขอให้ยึดในเรื่องของความเป็นไทยและความเป็นธรรม เป็นหลักในการ ทำงานในอนาคตของเราต่อไป" ช่วยกันทำให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น  และนำสิ่งที่เราได้มอบให้กับเขา ไปพัฒนาบ้านเมืองไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต" นอกจากนี้ ในปีนี้มูลนิธิฯ ยังได้มีครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน คือ กระบี่ พังงา และภูเก็ต ซึ่งผลตอบรับที่ได้มาก็ค่อนข้างดี และยังพบว่า ครอบครัวอุปถัมภ์ในท้องถิ่นได้ให้การส่งเสริมเยาวชนให้ปรับตัวเข้ากับเรื่องของการส่งเสริมการท่องเที่ยว การอนุรักษ์พื้นที่ การดูแลสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ทำให้เยาวชนมี 2 โอกาส คือ 1. นำเรื่องราวที่เขาได้พบเห็นไปพัฒนาในพื้นที่ของเขาเอง และ 2. มีโอกาสที่จะกลับมาทำงานในจังหวัดทะเลอันดามันในวันข้างหน้าต่อไปเมื่อเขาสำเร็จการศึกษา" นายกมูลนิธิฯ กล่าว
 
นายกมูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเยาวชน "สานใจไทย สู่ใจใต้" ตั้งแต่รุ่น 1 จนถึงรุ่นที่ 44 ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงการรวมกลุ่มพัฒนาน้อง ๆ รุ่นต่อไป รวมถึงจรรโลงสังคมไทย คือ การจัดตั้งเป็นสมาคมเยาวชน "สานใจไทย สู่ใจใต้" ขึ้น และมีเครือข่ายในแต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัด ผ่าน "ชมรม" ในพื้นที่ ขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนาด้านต่าง ๆ อาทิ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การปลูกป่าชายเลน การอนุรักษ์ผืนป่า การอนุรักษ์พื้นที่ที่เป็นพื้นที่ศักยภาพในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่สามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี สะท้อนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่นี้ได้ส่งผลให้กับการพัฒนาท้องถิ่น การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
 
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับมูลนิธิสานใจไทย สู่ใจใต้  ขับเคลื่อนโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการกำชับให้จังหวัดครอบครัวอุปถัมภ์ได้ลงพื้นที่ติดตามถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเยาวชนและครอบครัว และหมั่นตรวจเยี่ยมในช่วงที่เยาวชนพำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ โดยดูแลเสมือนเป็นลูกหลานของคนมหาดไทย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดความสันติสุขอย่างยั่งยืน
 
เลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวว่า ใน ปี 2568 มูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" จัดกิจกรรมเป็นรุ่นที่ 45 โดยนำเยาวชนจากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย) จำนวน 320 คน เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ประสบการณ์และการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ระหว่างวันที่ 27 กันยายน - 28 ตุลาคม 2568 โดยจะได้ใช้ชีวิตและพำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ใน 9 จังหวัดปริมณฑล และกรุงเทพฯ เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 - 21 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีครอบครัวเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 160 ครอบครัว แบ่งเป็น  ครอบครัวผู้นับถือศาสนาพุทธ 50 ครอบครัว และครอบครัวผู้นับถือศาสนาอิสลาม 110 ครอบครัว 
 
"ครอบครัวอุปถัมภ์มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ วิถีชีวิต และการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมซึ่งเยาวชนจะได้รับประสบการการฝึกทักษะอาชีพในชุมชน ท้องถิ่น ตลอดจนได้พบปะผู้คน และผู้นำชุมชน ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ก่อให้เกิดความมั่นใจ และมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง อันจะนำไปสู่การพัฒนาชุมชนและสังคมส่วนรวมในพื้นที่ต่อไป โดยมูลนิธิฯ ได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจากกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ที่ทำการปกครองจังหวัด นายอำเภอ และส่วนราชการในพื้นที่ทั้ง 9 จังหวัด สนับสนุนการคัดเลือกและร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ในการดูแลเยาวชนตลอดมา" เลขาธิการมูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติม