การประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) กลายเป็นเวทีร้อน เมื่อผู้แทนไทยและกัมพูชาต่างลุกขึ้นแถลงตอบโต้กันอย่างดุเดือด เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ระบุว่า ไทยไม่ต้องการทำลายบรรยากาศฉันมิตรของ AIPA แต่จำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริง โดยย้ำว่าฝ่ายกัมพูชามีการบิดเบือนข้อมูลและฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ การยิงจรวด BM-21 เข้าสู่พื้นที่พลเรือนไทย ทำให้เด็กและผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บถาวร

นายฉลาดย้ำว่า การปฏิบัติการของไทยเกิดขึ้นในเขตอธิปไตยชัดเจน เช่น กรณีชาวบ้านกัมพูชารื้อรั้วลวดหนามในพื้นที่บ้านหนองหญ้าปล้อง จ.สระแก้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ พร้อมยืนยันว่า ไทยยึดหลักสหประชาชาติและอาเซียน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

ด้านสมเด็จควร สุดารี ประธานสภาแห่งชาติกัมพูชา ลุกขึ้นโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อน โดยกล่าวหาว่า ไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ติดตั้งรั้วลวดหนามโดยมิชอบ และควบคุมเชลยศึกทหารกัมพูชา 18 นายโดยไม่ถูกต้อง พร้อมเรียกร้องอาเซียนเข้ามามีบทบาทเป็นผู้สังเกตการณ์พิเศษ (IOT) ในพื้นที่พิพาท เพื่อยับยั้งการใช้กำลังและความรุนแรงทางทหาร

นอกจากนี้ ผู้นำกัมพูชายังชี้ว่า ความเปราะบางบริเวณชายแดนอาจบั่นทอนกระบวนการสร้างสันติภาพในภูมิภาค พร้อมเตือนว่าอาเซียนต้องไม่ปล่อยให้ประเทศใดใช้อำนาจเหนือความถูกต้อง และไม่ควรทำให้ “ผู้ที่อ่อนแอต้องเป็นฝ่ายที่เงียบ”

การถ้อยแถลงของสมเด็จควร สุดารี ได้รับเสียงปรบมือและการแสดงออกสนับสนุนจากคณะผู้แทนกัมพูชาอย่างกึกก้อง ขณะที่ฝั่งไทยยังคงยืนยันจุดยืนบนเวทีว่า พร้อมแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี บนพื้นฐานของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน