เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีนโยบายเกษตรของรัฐบาลว่า การเปิดทางให้นำเข้าพืชตัดต่อพันธุกรรม (GMO) และพืชจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม (GEd) สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเกษตรกรและเศรษฐกิจไทย สูญเสียรายได้กว่า 900,000 ล้านบาทในรอบ 15 ปี และยังทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

นายวรวัจน์ระบุว่า จุดเริ่มต้นปัญหาเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 สมัยพรรคภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล โดยนายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ในขณะนั้น เซ็นประกาศกระทรวงเกษตรฯ ฉบับที่ 10/2553 เปิดช่องให้นำเข้า GMO ใช้ในอุตสาหกรรม ทั้งที่ขัดต่อ พ.ร.บ.กักพืช ปี 2507 ที่อนุญาตเฉพาะเพื่อการวิจัยและทดลองเท่านั้น

ล่าสุด เมื่อ 11 ก.ค. 2567 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ได้ลงนามประกาศรับรองสิ่งมีชีวิตจากเทคโนโลยี GEd เพื่อใช้ในภาคการเกษตร ซึ่งนายวรวัจน์ชี้ว่า เป็นการ “ซ้ำรอยเดิม” ที่จะยิ่งซ้ำเติมเกษตรกร เพราะเปิดช่องให้นำเข้าข้าวโพด GMO กว่า 2.6 ล้านตันต่อปี มูลค่า 26,000 ล้านบาท และถั่วเหลือง GMO อีกกว่า 1.5 ล้านตัน มูลค่า 20,000 ล้านบาท รวมทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์และค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์อีกหลายหมื่นล้านบาท รวมแล้วไทยสูญเสียกว่า 60,000-70,000 ล้านบาทต่อปี

“นี่ไม่ใช่การพัฒนา แต่มันคือเครื่องสูบเลือดชาวนาไทย ทำให้ข้าวโพดไทยเหลือเพียงกิโลกรัมละ 7-8 บาท ทั้งที่ควรไม่ต่ำกว่า 15 บาท มันสำปะหลังก็ตกต่ำ ถั่วเหลืองถูกกดราคา ข้าวยังถูกแทนที่ด้วยพืช GMO” นายวรวัจน์กล่าว พร้อมย้ำว่าเกษตรกรไทยไม่ควรถูกทำให้เป็นหนูทดลองของบริษัทข้ามชาติ

เขาประกาศเตรียมยื่นร้องต่อหลายหน่วยงาน ได้แก่

ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบการทุจริตและส่งศาลฎีกาฯ หากพบมูลความผิด

ศาลจังหวัด เพื่อเรียกค่าเสียหายและให้หยุดการนำเข้า GMO/GEd

ศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนประกาศกระทรวงเกษตรฯ และชดใช้ค่าเสียหายแก่เกษตรกร

ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงและถอดถอนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี

นายวรวัจน์ย้ำว่า หากรัฐบาลอนุทินห่วงใยเกษตรกรจริง ต้องยกเลิกประกาศที่เปิดช่องให้ GMO และ GEd ทันที พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อผ่านทางเว็บไซต์ Change.org เพื่อกดดันให้ยกเลิกประกาศดังกล่าว ก่อนเกษตรกรไทยจะสูญเสียรายได้ไปมากกว่านี้