“ส.ว.ชิบ จิตนิยม” ปาฐกถาครบรอบ 50 ปี ไทย–จีน ย้ำจีนยิ่งใหญ่แต่ไม่ครอบงำ หนุนแนวคิด “ร่วมสถาน–ร่วมสร้าง–ร่วมแบ่งปัน” ชี้ไทยต้องยืนบนสมดุลแห่งอำนาจและคุณธรรม

สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน ร่วมกับสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ China Media Group (CMG) จัดปาฐกถาพิเศษครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยได้รับเกียรติจาก นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นองค์ปาฐก นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ตลอดจนนักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชนร่วมงาน

ในโอกาสนี้ นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลโลก อนาคตแห่งสันติภาพร่วมกัน” โดยกล่าวว่า จีนในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก มิใช่ประเทศที่ครอบงำหรือรังแกชาติอื่น แต่ยึดหลัก “ธรรมาภิบาลโลก” ตามแนวทางของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ให้ความสำคัญกับ “คุณธรรมมาก่อนผลประโยชน์” และการพัฒนาอย่างสมดุลของมนุษยชาติ

ส.ว.ชิบ กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศใดๆ ต้องตั้งอยู่บนหลัก “ร่วมสถาน ร่วมสร้าง และร่วมแบ่งปัน” ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่จีนผลักดันในนโยบาย “ประชาคมร่วมแห่งอนาคตของมนุษยชาติ” และโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่มุ่งสร้างการเติบโตแบบเท่าเทียมและยั่งยืน แนวทางดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จีนไม่ได้มุ่งขยายอำนาจ แต่ต้องการร่วมเติบโตกับทุกประเทศผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และการแบ่งปันเทคโนโลยีอย่างเป็นธรรม

ส.ว.ชิบ ยกตัวอย่างกรณีบริษัทจีนด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกประเทศตะวันตกควบคุมและจำกัดการค้า เพื่อสกัดการเติบโตของจีน สะท้อนถึงความกลัวต่อศักยภาพเทคโนโลยีจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถไฟความเร็วสูง ปัญญาประดิษฐ์ และแร่หายาก (Rare Earth)

“แร่หายากคืออาวุธยุทธศาสตร์ของศตวรรษที่ 21 เพราะจีนถือครองห่วงโซ่อุปทานหลักของโลก ทำให้สหรัฐฯ ต้องตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าแร่จากจีนสูงถึง 100% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจ แต่คือการแข่งขันเพื่อครอบครองเทคโนโลยีและทรัพยากรแห่งอนาคต” ส.ว.ชิบกล่าว

เพื่อเชื่อมไปยังภาพรวมของประเทศ ส.ว.ชิบกล่าวว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดังกล่าว เกิดขึ้นได้เพราะจีนมีฐานประชากรขนาดใหญ่และชนชั้นกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และกว่า 550 ล้านคนอยู่ในชนชั้นกลาง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงที่ครอบคลุมกว่า 70% ของประเทศ แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ แต่แม้ว่าจีนจะเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจก็ยังยึดหลัก ไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และให้ความเคารพต่ออธิปไตยของชาติพันธมิตร ซึ่งเป็นพื้นฐานของมิตรภาพไทย–จีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

"ในขณะที่จีนรุดหน้าไปไกล แต่ไทยเรากำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จีนมีพลังของประชากรรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญให้ไทยต้องเร่งปรับตัวทางโครงสร้างเศรษฐกิจและแรงงาน" ส.ว.ชิบกล่าว

ส.ว.ชิบ ยังย้ำว่า Soft Power ของจีน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจ แต่รวมถึงศิลปวัฒนธรรม ศาสนา การศึกษา และพุทธธรรม ที่ใช้เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก เช่น การเผยแพร่วัฒนธรรมจีนผ่านสื่อ ภาพยนตร์ และการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ

“ในขณะที่จีนใช้ Soft Power เพื่อสร้างภาพลักษณ์ระดับโลก ไทยเองก็มีจุดแข็งเฉพาะตัวในด้านนี้เช่นกัน โดยเฉพาะเสน่ห์ของคนไทยที่เป็นพลังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน แต่ควรพัฒนาเรื่องความปลอดภัย มาตรฐานบริการ และการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกในสื่อออนไลน์ เพื่อให้เป็นพลังอ่อนเชิงสร้างสรรค์อย่างแท้จริง” ส.ว.ชิบกล่าว

ส.ว.ชิบกล่าวต่อว่า ความสัมพันธ์ไทย–จีนจะยังคงแน่นแฟ้นและเติบโตต่อไป หากไทยรู้จักรักษาความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม และนำแนวคิดธรรมาภิบาลแบบจีนมาปรับใช้ โดยยึดคุณธรรม ความจริงใจ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

“จีนยิ่งใหญ่แต่ไม่ครอบงำ ไทยจึงควรยิ่งเล็กแต่ไม่อ่อนแอ หากเรายืนด้วยคุณธรรม ความรู้ และความร่วมมือ ไทยจะไม่ตกขอบเวทีโลก” ส.ว.ชิบกล่าว

ส.ว.ชิบยังชี้ให้เห็นว่า การรักษาสมดุลดังกล่าว ต้องสะท้อนอยู่ใน บทบาทของไทยบนเวทีโลก เช่น การเข้าร่วมองค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาค SCO (Shanghai Cooperation Organization) ที่จีนมีบทบาทนำ แต่ไทยไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยยังต้องกำหนดบทบาทเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ

ส.ว.ชิบยังกล่าวถึงความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ ว่า แม้จะตึงเครียดในสงครามการค้า แต่ผู้นำทั้งสองประเทศยังคงเปิดช่องทางการสื่อสารเพื่อป้องกันความขัดแย้งบานปลาย

“ยุคนี้ไม่ใช่สงครามเย็น แต่เป็นสงครามทรัพยากรและสมอง ไทยจึงควรวางยุทธศาสตร์ให้ยืนได้ด้วยตัวเอง โดยรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย และสร้างพลังภายในประเทศผ่านนวัตกรรม การศึกษา และเศรษฐกิจฐานราก” ส.ว.ชิบกล่าว

งานปาฐกถาครั้งนี้ไม่เพียงเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน แต่ยังเป็นเวทีสะท้อนแนวคิด “ธรรมาภิบาลโลก” ที่ยึดหลักการพัฒนาร่วมกันของมนุษยชาติ และเป็นบทเตือนให้ไทยเตรียม ยืนในจุดสมดุล ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและคุณธรรม