วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568 04:41 น.

การเมือง

ไฮโดรเจน อีโคโนมี: เศรษฐกิจแสนล้านฐานพลังงานแห่งอนาคตของไทย ในมุมมองของ "มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์"

วันพฤหัสบดี ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 10.52 น.

วันนี้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจาก วิกฤตโลกร้อน และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหนึ่งใน "เครื่องยนต์ใหม่" ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ คือการพัฒนา “ไฮโดรเจน อีโคโนมี” (Hydrogen Economy) หรือ เศรษฐกิจฐานพลังงานไฮโดรเจน
   
ทั้งนี้ในส่วนประเทศไทยได้รับการประเมินว่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะมีมูลค่าสูงถึง 82,000 ล้านบาท ภายในปี 2050 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงเศรษฐกิจของพลังงานทางเลือกนี้ต่ออนาคตของประเทศไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร เจ้าของฉายา “มิสเตอร์เอทานอล”ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้ง มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยได้แสดงวิสัยทัศน์โดยเขียนบทความเรื่อง“ไฮโดรเจน อีโคโนมี: เศรษฐกิจแสนล้านฐานพลังงานแห่งอนาคตของไทย”ไว้อย่างน่าสนใจ มีเนื้อหาสาระดังนี้
   
“เมื่อ25ปีก่อนผมผลักดันโครงการเอทานอล เชื้อเพลิงชีวภาพ(Biofuel)พลังงานสีเขียว(GreetEnergy)จากพืชจนมีการผลิตและจำหน่ายแก๊สโซฮอลล์ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ วันนี้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจาก วิกฤตโลกร้อน และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหนึ่งใน "เครื่องยนต์ใหม่" ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ คือการพัฒนา “ไฮโดรเจน อีโคโนมี” (Hydrogen Economy) หรือ เศรษฐกิจฐานพลังงานไฮโดรเจน ไฮโดรเจน อีโคโนมี คือภาพของโลกที่เชื้อเพลิงฟอสซิลถูกแทนที่ด้วยไฮโดรเจนอย่างสิ้นเชิง เป็นการสร้างระบบพลังงานที่ สะอาด มีเสถียรภาพสูง และยั่งยืน

มูลค่าเศรษฐกิจไฮโดรเจน : การลงทุนแห่งอนาคต ตลาดไฮโดรเจนทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างมากของเศรษฐกิจไฮโดรเจนซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนผ่านกำลังเกิดขึ้นจริง
     
อุปสงค์ทั่วโลกที่พุ่งสูง: ปัจจุบันโลกมีความต้องการไฮโดรเจนประมาณ 95 ล้านตันต่อปี และคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นเป็น กว่า 150 ล้านตัน ภายในปี 2030 และอาจสูงถึง 400 ล้านตัน ภายใน 25 ปีข้างหน้า
    
มูลค่าตลาดที่เติบโต: ตลาดที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บไฮโดรเจน เพียงอย่างเดียว คาดว่าจะมีมูลค่าเติบโตจาก 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 4.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030
   
การลงทุนมหึมา: มีการคาดการณ์ว่า การลงทุนในเทคโนโลยี ไฮโดรเจนสีเขียว ทั่วโลก จะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปี 2030 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2050
    
ต้นทุนที่แข่งขันได้: ปัจจุบัน ไฮโดรเจนสีเขียว มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ $5-6 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ซึ่งยังสูงกว่าไฮโดรเจนสีฟ้า ($2-3 ดอลล่าร์สหรัฐต่อกิโลกรัม) แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนขนาดใหญ่ (Economy of Scale) ต้นทุนของไฮโดรเจนสีเขียวมีโอกาสลดลงเหลือเพียงประมาณ 50 บาทต่อกิโลกรัม ในอนาคต
    
กล่าวโดยสรุป ขณะนี้มีอย่างน้อย 30 ประเทศที่ประกาศนโยบายไฮโดรเจนแห่งชาติอย่างเป็นทางการ สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่สู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Decarbonization)ซึ่งมีตัวอย่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจนดังนี้

1. สหภาพยุโรป (EU): มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฮโดรเจนโลก โดยมีเป้าหมายติดตั้งเครื่องแยกน้ำไฟฟ้า (Electrolyser) ขนาดใหญ่ถึง 40 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี ค.ศ. 2030 

2. ญี่ปุ่น: ตั้งเป้าเป็น "สังคมไฮโดรเจน" แห่งแรกของโลก ญี่ปุ่นใช้กลยุทธ์การนำเข้าเป็นหลัก โดยกำลังบุกเบิก โครงการขนส่งไฮโดรเจนเหลว (Suiso Frontier) ระยะทางไกลจากออสเตรเลีย และตั้งเป้าจัดซื้อไฮโดรเจนและแอมโมเนีย 12 ล้านตันต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2040 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

3. ซาอุดีอาระเบีย: ผู้นำด้านเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยลงทุนใน โครงการ NEOM เพื่อสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีเขียวขนาดใหญ่ระดับโลก ด้วยกำลังการผลิตกรีนไฮโดรเจนและแอมโมเนียสีเขียว มากกว่า 650,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้เงินทุนขนาดใหญ่และศักยภาพพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

4. สเปน: ใช้ศักยภาพพลังงานหมุนเวียนสูงเป็นฐานการผลิต โดยมีเป้าหมายติดตั้งเครื่องแยกน้ำไฟฟ้า 4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี ค.ศ. 2030 รวมถึงการมี โครงการ Puertollano ซึ่งเป็นโรงงานไฮโดรเจนสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ณ ปัจจุบัน

5.ออสเตรียโครงการ H2FUTURE ใช้ไฮโดรเจนในการผลิตเหล็กปลอดคาร์บอน แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมหนัก

6.จีน ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี ก็กำลังผลักดันการใช้ไฮโดรเจนอย่างกว้างขวาง โดยคาดการณ์ว่าจะมี รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ถึง 1 ล้านคัน ภายในปี 2035 และมูลค่าผลผลิตในอุตสาหกรรมไฮโดรเจนจะพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านหยวน ภายในปี 2025 โดยมีการสาธิตการใช้ FCEV ในเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้

7.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ): โครงการ "พืชสีเขียว" (Green Plant) ในเขตเอ็มไพร์สไมล์ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากโรงงาน 1.3 MW ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ลดการปล่อยคาร์บอนได้ กว่า 830 ตันต่อปี
 
8.ออสเตรเลีย: กำลังพัฒนาโครงการ "Asian Renewable Energy Hub" ขนาดยักษ์ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 36,000 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสำหรับส่งออกไปยังตลาดเอเชีย

ประเทศไทยกับเศรษฐกิจไฮโดรเจน ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านนี้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการบรรจุเรื่องพลังงานไฮโดรเจนไว้ใน ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP)ฉบับใหม่ซึ่งจะเริ่มมีการใช้ไฮโดรเจนในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่จะใช้ไฮโดรเจนเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยเฉพาะการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการผลิตไฟฟ้า ที่กำหนดให้มีการเพิ่มสัดส่วนการผสมไฮโดรเจนในระบบท่อก๊าซธรรมชาติ (Blending) ในโรงไฟฟ้าสูงถึง 25% จนถึง 75% ในช่วงปี 2041-2050 ซึ่งจะช่วย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่น้อยกว่า 42% จากระดับปี 2023 นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในประเทศจะมีมูลค่าสูงถึง 82,000 ล้านบาท ภายในปี 2050 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงเศรษฐกิจของพลังงานทางเลือกนี้ต่ออนาคตของชาติ

บทบาทของ ปตท.  กฟผ. และบริษัทอื่นๆในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจน นอกจากแผนงานของภาครัฐแล้ว หน่วยงานด้านพลังงานหลักของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทต่างๆได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไฮโดรเจนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีโครงการนำร่องที่สำคัญดังนี้

กลุ่ม ปตท. (PTT Group): การลงทุนครบวงจรและความร่วมมือข้ามชาติ

1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)ยังคงเป็นแกนนำในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปลายน้ำ โดยความร่วมมือกับ โตโยต้า (Toyota) และ บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส (BIG) ในการเปิด สถานีต้นแบบเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีการ ต่อยอดโครงการ ให้สถานีดังกล่าวพร้อมรองรับการใช้งานของ รถบรรทุกขนส่งและรถหัวลาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการพลังงานคาร์บอนต่ำสำหรับการขนส่งระยะไกล

2.บริษัท ปตท.สผ. (PTTEP)ยังคงเดินหน้าโครงการใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการชนะการประมูลโครงการพัฒนา ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ขนาดใหญ่ใน ประเทศโอมาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการจัดหาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเพื่อนำเข้าและใช้ในประเทศในอนาคต

3.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC)ในฐานะแกนนำธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. กำลังมุ่งมั่นพัฒนา เทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว และสร้าง ห่วงโซ่คุณค่าไฮโดรเจน (Hydrogen Value Chain) เพื่อรองรับเป้าหมาย Net Zero ของกลุ่ม ปตท. และประเทศ

4.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC)ร่วมมือกับ BIG อย่างต่อเนื่องในการผลักดันการใช้ ไฮโดรเจนพลังงานสะอาด ในกระบวนการผลิตและแสวงหาโอกาสพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านไฮโดรเจนและคาร์บอน โดย GC มีแผนการดำเนินงานที่สอดรับกับกลยุทธ์ 3 Steps Plus เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): มุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงาน กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดำเนินการโครงการเพื่อรองรับการใช้ไฮโดรเจนในการผลิตและกักเก็บพลังงานสะอาด

1.โครงการ Wind Hydrogen Hybrid: เป็นโครงการสาธิตที่ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้ไฟฟ้าจาก กังหันลม ในการผลิต ไฮโดรเจนสีเขียว ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส จากนั้นจึงใช้ไฮโดรเจนที่ได้ไปผลิตไฟฟ้ากลับคืนผ่าน เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ขนาดกำลังผลิต 300 กิโลวัตต์

2.การวิจัยและพัฒนา: กฟผ. ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฮโดรเจนจากแหล่งต่างๆ เช่น การผลิตไฮโดรเจนจากถ่านหิน ผ่านกระบวนการก๊าซสังเคราะห์ (Coal Gasification) ควบคู่กับเทคโนโลยี การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อให้ได้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ

3.แผนการใช้ในโรงไฟฟ้า: กฟผ. มีแผนพัฒนาและเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการผสมจาก 5% ในช่วงปี 2574-2583 เป็น 10-20% ในระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ

นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในภาคพลังงานและอุตสาหกรรม

1.บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) ในฐานะผู้ผลิตก๊าซอุตสาหกรรมรายใหญ่ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่สนับสนุนการผลิต จัดเก็บ และขนส่งไฮโดรเจนให้กับภาคอุตสาหกรรมและเป็นพันธมิตรหลักในโครงการสถานีเติมไฮโดรเจน

2.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Thaioil)ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์การกระจายการเติบโต โดยมีการลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียวจากต่างประเทศ เพื่อนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในโรงกลั่นและอุตสาหกรรมในประเทศ

3.บริษัทอื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรมบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น SCG และ GULF ต่างก็มุ่งเน้นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและติดตามการพัฒนาของไฮโดรเจนอย่างใกล้ชิด เพื่อประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตเหล็ก ซีเมนต์ และปิโตรเคมี

บทสรุป: ก้าวสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน การสร้าง“เศรษฐกิจไฮโดรเจน“ต้องพัฒนาระบบนิเวศ(Ecosystem)อย่างต่อเนื่องโดยภาครัฐต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ในขณะที่ภาคเอกชนต้องกล้าลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศส่วนภาคการศึกษาต้องเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะตรงกับความต้องการ การลงทุนกับไฮโดรเจนในวันนี้ ไม่ใช่แค่การลงทุนกับพลังงานทางเลือก แต่คือการลงทุนกับโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
    
เราต้องไม่ปล่อยให้ "โอกาสสีเขียว" นี้หลุดลอยไป.”

หมายเหตุ:ไฮโดรเจน 5 ชนิดแตกต่างกันตาม "สี" ของกระบวนการผลิต 1. ไฮโดรเจนสีน้ำตาล (Brown Hydrogen) ใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบมีการปล่อย CO₂ มากที่สุด 2. ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบมีการปล่อย CO₂ รองจากไฮโดรเจนสีน้ำตาล 3. ไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen) ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ แต่ใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บ (Carbon Capture and Storage : CCS) 4. ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen) ผลิตโดยแยกไฮโดรเจนจากน้ำ (Water Electrolysis) 5. ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) แยกไฮโดรเจนออกจากน้ำโดยไฟฟ้ามาจากพลังงานหมุนเวียนไม่มีการปล่อยคาร์บอน

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง