เมื่อวันที่ 19  พฤศจิกายน 2568  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการออกระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสกัดให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถออกมาช่วยเลือกตั้งใช่หรือไม่ ว่าไม่เชื่อว่าใครจะคิดแบบนั้น รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อไม่ให้การใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐในการกลั่นแกล้งคนใดคนหนึ่งที่เป็นคู่แข่ง หรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เหมือนที่พวกตนเคยโดนมา วันนี้ที่เข้ามาตรงได้สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การแก้แค้นหรือเคยโดนอะไรมาก็จะทำแบบเดิมกลับไป มีแต่จะเข้ามาก็จะทำให้มีความถูกต้อง เป็นไปตามกลไกกฎหมายของผู้ที่มีอำนาจมีบารมีสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เรามีความตั้งใจที่จะมาแก้ไขทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ให้มีความยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย

เมื่อถามถึงหนังสือขอรับพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณนั้นได้มีการทูลเกล้าฯ แล้วหรือยัง นายอนุทิน กล่าวด้วยว่าได้ตรวจสอบแล้ว เป็นเรื่องที่ค้างมาตั้งแต่สมัย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเราก็ได้ดำเนินการตามนั้น

เมื่อถามว่านายกฯ ได้ลงนามแล้วเรียบร้อยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ลงนามเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ และได้เสนอขึ้นไป

ขณะที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นนัยการสกัดกั้นทางการเมืองนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ทำตามกฎหมายทุกอย่าง ต้องไม่เอาสิ่งที่ตนเองชอบทำป้ายว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นหลายครั้งแล้ว

เมื่อถามว่านายทักษิณ สามารถออกมาช่วยหาเสียงได้ หรือไม่ออกมามาช่วยนั้นผลการเลือกตั้งจะแตกต่างกันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องการหาเสียงต้องถามนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนกล่าวต่อว่า คนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่ทราบ แต่เราเอาสิ่งที่เรามีซึ่งเป็นศักยภาพ ทำให้ประชาชนมั่นใจเราไม่เคยหาเสียงโดยไปด่าคู่แข่ง หรือด้อยค่าคู่แข่ง ขออย่ากังวลพรรคภูมิใจไทยไม่ทำเช่นนั้น

ลั่นรัฐบาลนี้ตั้งใจมาปราบคอร์รัปชัน เผย "บิ๊กต่าย"  ยินดีรับการตรวจสอบ
 
นายอนุทิน   กล่าวถึงกรณีเพจดังออกมาแฉเรื่องการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งตำรวจว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวกับตนว่า หากมีข้อสงสัยตามข่าว ก็ยินดีที่จะรับการตรวจสอบ แต่ต้องขอดูหลักฐานข้อมูลก่อน เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมของการกล่าวหา ด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย จึงต้องปรับตัวหากไปเต้นกับทุกเรื่อง ก็ไม่เป็นอันทำอะไรพอดี มัวแต่ไปสอบ ก็ไม่สามารถที่จะทำงานแบบปกติได้ จึงต้องดูเป็นเรื่องๆไป ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องขอความร่วมมือไปถึงหน่วยงานองค์กรอิสระ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ที่เป็นเครือข่ายในการร่วมมือปราบปรามสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่

ส่วนที่กรณีองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงสถานการณ์การทุจริต โดยหน่วยงานรัฐมีการรับเงินใต้โต๊ะจากโครงการต่างๆกว่า 200,000 ล้านบาท นายอนุทิน ระบุว่า ตนมองว่าน้อยลง ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเรา เนื่องจากตั้งใจที่จะเข้ามาปราบปรามอย่างเต็มที่ เพราะเป็นเรื่องเดียวที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แค่เรื่องใครได้เงิน แต่เป็นเรื่องของภาพลักษณ์ของประเทศ และความมั่นใจของต่างประเทศ รวมทั้งการจัดลำดับเรตติ้ง เรื่องการคอร์รัปชันต่างๆ สูงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งใจเป็นศัตรูกับการคอร์รัปชันอยู่แล้ว