วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568 10:43 น.

การเมือง

กองทัพภาคที่ 1 โชว์ภาพ กกล.บูรพาปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนฝั่งกัมพูชา

วันอังคาร ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.28 น.

 กองทัพภาคที่ 1 โชว์ภาพ กกล.บูรพาปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนฝั่งกัมพูชา เหล่าทัพไทย แถลงจุดยืนปฏิบัติการทหารจนกว่า กัมพูชายอมสยบสู่สันติภาพแท้จริง  กำชับทุกหน่วยควบคุมการเผยแพร่ภาพปฏิบัติการโบราญสถานอย่างเข้มงวด รัฐบาลเตรียมงบเยียวยา ปชช.เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568  ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงานจาก กกล.บูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ซึ่งอยู่ติดแนวชายแดน ใช้เป็นที่ตั้งยิงอาวุธวิธีโค้ง, ป้อมปืนกลและสะสมอาวุธ เพื่อใช้โจมตีใส่ฝ่ายไทย ในพื้นที่ตรงข้ามจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว

กองทัพกำชับทุกหน่วยควบคุมการเผยแพร่ภาพปฏิบัติการโบราญสถานอย่างเข้มงวด ทุกภาพทุกข้อมูลต้องถูกใช้ด้วยความรับผิดชอบสูงสุด เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปบิดเบือน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามนำภาพปฏิบัติการของไทยไปบิดเบือน สร้างความเสียหายต่อประเทศ หรือใช้เป็นข้ออ้างโจมตีในเวทีนานาชาติ

กองทัพกำชับทุกหน่วย ควบคุมการเผยแพร่ภาพปฏิบัติการในบริเวณโบราณสถานอย่างเข้มงวด โดยให้มีเพียงข้อมูลจาก ช่องทางทางการเท่านั้น ที่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้ พร้อมกันนี้ ได้กำชับกำลังพลทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางยุทธการให้ปฏิบัติตามมาตรการ OPSEC ระดับสูงสุด เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ปกป้องภารกิจ และป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหลุดออกสู่สาธารณะ

ความมั่นคงของชาติ คือภารกิจของทุกคน ทุกภาพ–ทุกข้อมูล ต้องถูกใช้ด้วยความรับผิดชอบสูงสุด เพื่อปกป้องอธิปไตยไทย และป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้พื้นที่ข้อมูลเป็นอาวุธย้อนกลับมาทำร้ายประเทศ

เหล่าทัพไทย แถลงจุดยืนปฏิบัติการทหารจนกว่า กัมพูชายอมสยบสู่สันติภาพแท้จริง 
 
 ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม (โฆษกกลาโหม) , พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ (โฆษกอทร.) , พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ (โฆษก ทอ.) , พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก (รองโฆษก ทบ.) และ พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก สตช.) ร่วมแถลงข่าวการดำเนินการของเหล่าทัพต่อสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา

โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สถานการณ์การปะทะที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากการเปิดฉากยิงโจมตีทหารไทย ในพื้นที่ภูผาเหล็ก – พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ 7 ธ.ค. 2568 รวมทั้งการปะทะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค. 2568) เป็นสาเหตุหลักที่ไทยไม่สามารถอดทนอดกลั้นกับการกระทำของกัมพูชาได้อีกต่อไป เนื่องจาก การกระทำแบบเดิม ๆ ของฝ่ายกัมพูชา โดยเป็นการรุกรานไทยและปฏิเสธการกระทำดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ เช่น ลอบวางทุ่นระเบิดแต่สร้างภาพเรียกร้องสันติภาพ

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายไทยมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพ แห่งดินแดน และจำเป็นต้องดำเนินการ ทางทหารอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทย หมดความอดทนอดกลั้นต่อการดำเนินการของกัมพูชาที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคาม ต่อความปลอดภัย ครั้งแล้วครั้งเล่า รัฐบาลไทยจึงต้อง ให้ความสำคัญสูงสุด ในการปกป้องอธิปไตย และประชาชนทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคามท่าทีของไทย และการปฏิบัติการทหารของไทยจะดำเนิน ไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืนเช่นการกลับมาเลือกเดินบนทางเดินสู่สันติภาพที่แท้จริงและประเด็นสุดท้ายก็คือกัมพูชา นั้นเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงต่างๆรวมถึงข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม หรือ joint declaration ที่ได้มีการลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียที่ผ่านมา

ขณะที่ พ.อ.ริชฌา กล่าวว่า สถานการณ์การปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่รับผิดชอบ ภายหลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 7-8 ธ.ค. 2568 การปะทะได้ขยายวงครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว โดยฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธทุกประเภทโจมตี เช่น อาวุธกล ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด รวมทั้งการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เข้าดำเนินการต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียด ทบ.ได้ปฏิบัติการทางทหารตามแผนเผชิญเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่อการป้องกันตนเอง ควบคู่กับการผลักดันพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และทำลายศักยภาพการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาไม่ให้สามารถเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย

พ.อ.ริชฌา กล่าวอีกว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) 1.ทำลายตึกคาสิโนร้างเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานที่ตั้งทางทหารและจุดปล่อยโดรน ในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 2.ทำลายเสาสัญญาณระบบ แอนตี้โดรน ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 3.กวาดล้างพื้นที่ ที่รุกล้ำแนวปฏิบัติการ บริเวณช่องระยี ทิศตะวันออกของช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ 4.เข้าผลักดันทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ เนื่องจากมีสนามทุ่นระเบิดอยู่บริเวณโดยรอบ 5.ทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงบริเวณเนิน 350 พื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

พ.อ.ริชฌา กล่าวอีกว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) 1.ผลการปฏิบัติการผลักดันและควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการ ใน 3 ที่หมาย ได้แก่ บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว สามารถทำลายที่มั่นดัดแปลงของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ปฏิบัติการได้บางส่วน และเมื่อวานนี้ เวลา 17.00 น. สามารถยึดและควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นยังคงอยู่ระหว่างการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

พ.อ.ริชฌา กล่าวอีกว่า ทบ.ขอยืนยันว่า ทุกการปฏิบัติการที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดน ตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยกองทัพบกไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มความรุนแรง แต่มีหน้าที่ต้อง ตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตย อย่างจำเป็นและเหมาะสม

ด้าน พล.ร.ต.ปารัช กล่าวว่า ภารกิจของกองทัพเรือในช่วงเช้าของได้เปิดปฏิบัติการทางทหารในการขับไล่ผู้รุกรานในพื้นที่บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด หรือ บ้าน 3 หลัง หลังตรวจพบทหารกัมพูชากลับเข้ามายึดครองพื้นที่ใหม่อีกครั้ง และ มีการเสริมกำลังปรับปรุงฐานที่มั่น และปรับปรุงบ้านเรือนที่ยังคงค้างอยู่ในพื้นที่ 3-4 หลัง โดยทำเป็นที่พักอาศัยและเป็นพื้นที่เก็บยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงพัฒนาเป็นฐานยิง มีการขุดคูเลตเพื่อวางกำลังเพิ่มเติม ประกอบกับมีการเสริมกำลังด้วยพลซุ่มยิงและรบพิเศษ มีการลาดตระเวนในพื้นที่บ่อยครั้ง ซึ่งนอกจากจะมีการวางกำลังทหารแล้ว ก็ยังมีการยั่วยุโดยใช้อากาศยานไร้คนขับมาตรวจการในพื้นที่ของไทย ซึ่งจุดที่มีการยั่วยุโดยอากาศยานไร้คนขับนั้น กระทำในจุดที่เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังนาวิกโยธิน

พล.ร.ต.ปารัช กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อเช้ามืดวันนี้ (9 ธ.ค. 2568) ทางกำลังทหารเรือได้ใช้กำลังทหารในการผลักดันทหารของกัมพูชาให้ถอยร่นออกจากพื้นที่ไป โดยใช้อาวุธขับไล่ และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงติดพันการรบอยู่ ปฏิบัติการทหารยังไม่เสร็จสิ้น คาดว่าจะจบภายในเร็ววันนี้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทร. ยึดมั่นในการรักษาอธิปไตยเป็นหลัก ไม่ได้มีการใช้อาวุธหนักเกินความจำเป็น เพียงเพื่อต้องการให้ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ของประเทศไทยไปโดยเร็วที่สุด โดยก่อนหน้านี้ทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดก็ได้สั่งการให้มีการอพยพพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนออกไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วน พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ กล่าวว่า ในส่วนของรายละเอียดการปฏิบัติการทางทหารร่วมกับกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดยมุ่งเป้าในการโจมตีเป้าหมายทางทหาร การดำเนินการของ ทอ.ตอบโต้การปฏิบัติการของกัมพูชาในการโจมตีฝ่ายเราก่อน เป็นความพยายามที่จะหยุดยั้งการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อเอกราชอธิปไตย รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน การกำหนดเป้าหมายที่ ทอ.โจมตีนั้น เป็นการวางแผนคิดร่วมกันระหว่างทอ.และทบ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกล.สุรนารี ในการกำหนดเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจ และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งในเรื่องชีวิตและทรัพย์สิน ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ ทอ.ใช้เป็นการกำหนดเป้าหมาย

“การโจมตีเป้าหมาย จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยุติความพยายามในการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อกำลังของเรา รวมถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ต่อจากนี้ไปทอ.จะให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจ ทั้งในส่วนของ กกล.สุรนารี กกล.บูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี–ตราด (กปช.จต.) การปฏิบัติการร่วมของทั้ง 3 เหล่าทัพ ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า กองทัพอากาศจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี“ พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจภูธรภาค 2 และภาค 3 รวมไปถึงตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการรักษาความสงบ ด้วยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และตรวจสอบเส้นทางอพยพ สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ด้านการอพยพจะต้องคำนึงถึงความมีมนุษยธรรม จะต้องจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ ดูแลตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง อำนวยความสะดวก เรื่องเส้นทางจราจร ปิดกั้นเส้นทางอันตราย เพื่อนำประชาชนไปยังจุดหมายที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ส่วนการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน ในระหว่างที่ประชาชนต้องทิ้งบ้าน ไปยังจุดที่ปลอดภัย ตำรวจได้ทำการ เข้าไปตรวจสอบอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้โจรเข้ามาลักขโมย ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลของศูนย์พักพิงนั้น ในพื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 3 มีจำนวนทั้งหมด 687 แห่ง มีประชาชนทั้งหมด 1 แสนกว่าคน ส่วนพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 มีศูนย์พักพิง 44 แห่ง มีประชาชนพักอาศัย 2 หมื่นกว่าคน มีตำรวจจำนวนกว่า 5 พันนาย คอยดูแลประชาชน และทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้มีการเตรียมกำลังให้พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคอยสนับสนุนทุกภารกิจเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

รัฐบาลเตรียมงบเยียวยา ปชช.เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
 
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสิริพงศ์ อัครสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งให้ที่ประชุม ครม. ทราบถึงแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ที่ประชุม สมช. มีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติ สมช. จะปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นตามความจำเป็น

โดยนายกรัฐมนตรี มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนที่ต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงให้ดีที่สุด ทั้งอาหาร น้ำดื่ม ความเป็นอยู่ ความปลอดภัย ทางการแพทย์ ขณะนี้มีนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ท. อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย

นอกจากนั้น ยังให้กระทรวงมหาดไทยและ ปภ. เตรียมการเรื่องงบประมาณเยียวยาประชาชนที่ต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์เดิม เพื่อให้มีความพร้อมและโอนเงินได้ อย่าให้เกิดความล่าช้าให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้สื่อสารข้อมูลหลัก ประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและถูกต้อง

นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือจาก ครม.ทุกท่าน หากว้างเว้นภารกิจ ขอให้ไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่อพยพอยู่ตามแนวชายแดนด้วย

ส่วนเรื่องเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมในภาคใต้ ซึ่งมีประชาชนที่ได้ ลงทะเบียนในระบบออนไลน์แล้วได้รับเงินล่าช้า จึงกำชับ ปภ.เร่งแก้ไขระบบให้ประชาชนได้เงินโดยเร็วที่สุด

ส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ การลงทะเบียน ตรวจสอบสิทธิ สำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ คาดจะมีขึ้นในต้นเดือนมกราคมปี 69 โดยนายกรัฐมนตรี ให้ข้อห่วงใยในเรื่องหลักเกณฑ์ เพราะได้รับร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ว่าหลักเกณฑ์ที่ผ่านมา มีสอง หลักเกณฑ์ คือ รายได้และทรัพย์สิน ซึ่งมีบางคนเกณฑ์รายได้เข้าเกณฑ์มีไม่เกิน 100,000 บาท แต่ปรากฎทราบ ภายหลังว่ามีทรัพย์มูลค่ามาก จึงทำให้หลักเกณฑ์จ่ายเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านมามีข้อคลางแคลงใจ จึงสั่งการกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนหลักเกณฑ์เหล่านี้ให้ครบทุกมิติ เพื่อให้การสำรวจบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรอบใหม่เป็นไปอย่างเป็นธรรม

หน้าแรก » การเมือง