เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยตั้งคำถามถึงการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง  จากความสับสนและย้อนแย้งในระดับนโยบาย จนส่งผลให้ทหารไทยต้องสูญเสียชีวิตและร่างกายอย่างไร้ประโยชน์
 
นายพีระพันธุ์ระบุว่า “วันที่ 13 ธันวาคม 2568 นายทรัมป์เขียนในเฟสบุ๊คว่าไทยกับเขมรตกลงจะหยุดยิงกัน นายอันวาร์โพสต์ต่อในเรื่องเดียวกัน แต่ท่านนายกฯ อนุทินบอกว่าไม่มีการหยุดยิง ต่อมารัฐมนตรีกลาโหม พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ว่าเมื่อสถานการณ์มาถึงขนาดนี้เลยเวลาเจรจาแล้ว ต้องเดินหน้าปฏิบัติการทางทหาร คือรบต่อไปจนกว่าเขมรจะสิ้นสุดการเป็นปฏิปักษ์ คือสิ้นสภาพทางทหาร ทั้งสื่อทั้งสังคมออนไลน์ถามกันว่าจะเชื่อใคร วันนี้คงได้คำตอบชัดเจนแล้วนะครับ”
 
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า “ให้หลังไม่กี่วัน มาวันนี้ พล.อ. ณัฏพล ไปลงนามหยุดยิงซะแล้ว จะกี่ชั่วโมงหรือกี่วันก็คือหยุดยิง อ้างว่าเป็นไปตามมติ สมช. ที่มีนายกฯ อนุทินเป็นประธาน ยึกยักกลับไปกลับมา โยนกันไปโยนกันมา สุดท้ายทหารไทยต้องสังเวยชีวิตให้กับการยึกยักของรัฐบาลอีก 4 ชีวิต รวม 27 ชีวิต บาดเจ็บเพิ่มอีก 17 นาย และล่าสุดวันนี้หลังลงนามหยุดยิงเหยียบทุ่นระเบิดเขมรขาขาดไปอีก 1 ราย เป็นขาที่ 10 ไหนเคยบอกว่าถ้ามีขาที่ 7 จะจัดการเขมรไง นี่ขาที่ 10 แล้ว แล้วไง?  นี่คือการแสดงว่ายังคงมีความเป็นปฏิปักษ์และการที่ยังไม่สิ้นสภาพใช่หรือไม่ แถมที่เขมรยังถมทะเลหวังเปลี่ยนเส้นเขตแดนทางทะเลเพื่อฮุบแหล่งพลังงานในทะเลของไทยก็ยังจัดการไม่เสร็จ รังสแกมเมอร์ก็ยังไม่หมด น่าอนาถประเทศไทย มีรัฐบาล และ รมว.กลาโหมแบบนี้ ”
 
นายพีระพันธุ์ ย้ำถึงสภาวะที่กองทัพใส่เกียร์เดินหน้าแต่รัฐบาลกลับใส่เกียร์ถอยหลัง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลขาดความเด็ดขาด “ทำไมไม่ปล่อยให้ทหารจัดการให้เสร็จ ไม่ใช่พอเขาใส่เกียร์เดินหน้า รัฐบาลก็ใส่เกียร์ถอยหลัง ไม่แปลกใจเลยที่วันก่อนกองทัพสั่งห้ามส่งน้ำมันออกทางช่องเม็ก แต่ท่านนายกฯ กลับบอกว่าห้ามไม่ได้ รัฐบาลที่ไม่มีความเด็ดขาด รัฐบาลที่ทำให้ทหารกล้าต้องพลีชีพพลีร่างกายโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่น่าไว้วางใจจริง ๆ ครับ”