วันที่ 24 เม.ย.66 พรรคภูมิใจไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ พร้อมด้วยแกนนำพรรค ได้แก่ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม,  นายศุภชัย ใจสมุทร, น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์, นางนาที  รัชกิจประการ  เปิดเวทีปราศรัย เพื่อชี้แจงนโยบายของพรรค  และแนวคิดในการพัฒนาจังหวัดภูเก็ต  “ภูเก็ตเศรษฐกิจพิเศษ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวภูเก็ตโมเดล”  โอกาสนี้ยังมีการแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 4 ได้แก่นายชลัฎ รัชกิจประการ และผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต ของพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ นายนิพนธ์ เอกวานิช ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 หมายเลข 3, นายวงศกร ชนะกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต หมายเลข 5 และนายวิวัฒน์ จินดาพล ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 หมายเลข 9 โดยมีผู้ให้การสนับสนุนมาร่วมรับฟังจำนวนมาก ณ โรงยิมเนเซียม 4,000 ที่นั่ง

 

  นายชลัฎ รัชกิจประการ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 4 กล่าวถึงนโยบายในการพัฒนา จ.ภูเก็ต ว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา จะพบว่าจังหวัดภูเก็ต ได้รับผลกระทบอย่างมาก และจากการลงพื้นที่ได้สัมผัสกับปัญหาต่างๆ มากมาย หลังจากที่การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ ปัญหาคุณภาพชีวิต ไม่ว่ารถติด ขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค  ปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการจัดการต่างๆ  เป็นต้น  ดังนั้นจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะทำภูเก็ตเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภูเก็ตโมเดล  เพราะที่ผ่านมาภูเก็ตสามารถทำรายไดให้กับประเทศปีละ กว่าแสนล้านบาท แต่ได้รับงบประมาณในการพัฒนาต่างๆ ค่อนข้างน้อย จึงมองว่า ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%  ซึ่งจะคืนกลับมาให้ภูเก็ต 3% เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาให้ทันกับความต้องการ ถัดมาในเรื่องของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย เช่น กฎหมายโรงแรม, การจัดทำโซนนิ่งสถานบันเทิงในพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ ป่าตอง กะตะ-กะรน ให้เปิดได้ 24 ชั่วโมง, ปฎิรูปกฎหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวริมชายหาด, เชิดชูพหุสังคม  โดยจัดงบประมาณสนับสนุนทุกศาสนา และยกระดับมาตรฐานการศึกษา เพื่อลูกหลานสามารถสื่อสารได้หลายภาษาเฉกเช่นเดียวกับเจ้าของภาษา

 

นายสรอรรถ กลิ่นประทุมและนายศุภชัย ใจสมุทร ได้มีการพูดถึงนโยบายของพรรคและผลงานที่ผ่านมา ให้เก็นว่าได้มีการทำงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มี ส.ส.ของภูมิใจไทย จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชักเจน เช่น จ.กระบี่ เป็นต้น และขอให้ชาวภูเก็ตพิจารณาผู้สมัครทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ เพื่อจะได้มีการสานงานต่อไป รวมถึงการจัดทำนโยบายใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงภาคใต้ โดยเฉพาะโครงการเชื่อมสองฝั่งทะเลที่ จ.ชุมพร และระนอง

 

ทางด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ ได้กล่าวถึงการลงมาเปิดเวทปราศรัยในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ว่า ด้วยเห็นการตอบรับที่ดี  รวมถึงอีก 3 จังหวัด คือ ระนอง พังงา และกระบี่  ด้วยความเห็นใจของพี่น้องประชาชนที่เราได้ร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์ในช่วงที่เกิดโควิดวิด-19 จนสำเร็จ เกิดความเชื่อมั่นกับชาวต่างชาติ  จนท่องเที่ยวฟื้นฟูกลับมา และเราพร้อมที่จะเดินหน้าในการพัฒนาประเทศ ในทุกด้าน และยืนยันว่าทุกนโยบายที่ออกจากภูมิใจไทยมีการทำร้ายประเทศ เพราะตนรักประเทศไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร นอกจากนี้ยังอ้อนขอคะแนนเสียงจากคนภูเก็ตว่า จากที่เราไม่เคยมี ส.ส.ในภาคใต้เลย จนปัจจุบันมี ส.ส.ทั้งระบบบัญชีรายชื่อและเขต รวม 11 คน มีผู้ใหญ่แนะนำว่าหากได้เพิ่มก็ต้องพูดใต้ให้ได้ จนมาเสียงที่ จ.ระนอง และได้พบกับภรรยาที่นั่น  ปัจจุบันจึงเริ่มพูดใต้ได้แล้ว แม้อาจจะยังพูดไม่ชัด แต่พยายามจะฝึกให้ได้  จึงต้องขอกำลังใจและขอคะแนนเสียงจากคนใต้ให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค รวมทั้งในส่วนของภูเก็ตจะต้องได้ทั้ง  3 เขต  เพื่อสานงานต่อที่ทำไว้

 

นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการปราศรัยด้วยว่า  หวังว่าจะได้รับความไว้วางใจทั้ง 3 เขต เพราะผู้สมัครทุกคนเป็นคนพื้นที่และเกิดภูเก็ตทุกคน มีประสบการณ์การทำงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งยังเคยทำงานการเมืองท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุนที่มีความเข้มแข็ง ประกอบผลงานของพรรคภูมิใจไทยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ที่ทำให้ภูเก็ตฟื้นตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวด้วยนโยบายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และประเทศไทยสามารถใช้โมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เปิดประเทศได้จนทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน   จึงมั่นใจว่าพี่น้องชาวภูเก็ตจะเห็นใจและให้โอกาสพรรคภูมิใจไทยเข้าไปทำงานและรับใช้คนภูเก็ต เพื่อไปสานต่อในเรื่องเมดดิคัลฮับ ศูนย์กลางสุขภาพดูแลผู้สูงอายุซึ่งจะสร้างงานอีกมากมาย ทำให้ภูเก็ตเป็นศูนย์สุขภาพของโลก  ด้วยโครงการภูเก็ตเอ็กซ์โป 2028  และความพร้อมของระบบสาธารณสุข ความทันสมัย รวมถึงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำให้สร้างโอกาสสร้างงานสร้างธุรกิจและสร้างเศรษฐกิจให้กับภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงด้วย

 

  นายอนุทิน  กล่าวอีกว่า การพัฒนาภาคใต้ทั้งภาค ซึ่งภาพใหญ่จะมาจากโครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร เชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย เพื่อรับส่งสินค้าจาก 2 ฝั่งทะเลได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเส้นทางเดินเรือที่ต้องใช้เวลาและเปลี่ยนเรือในประเทศเพื่อนบ้าน   จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งสินค้า และเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งเป็นภูมิภาคที่จะเติบโตในอนาคต 20 ปีข้างหน้า