ผอ.โรงเรียน อ.บ้านด่าน บุรีรัมย์ “ขาแรง” ขับรถชนนักเรียนท้าแม่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ห้ามแม่ค้ามาขายของในโรงเรียน ห้ามเยาวชนมาใช้สนามฟุตบอล ชาวบ้าน นักเรียน และครูเหลืออด ชูป้ายประท้วงให้ย้ายออกจากพื้นที่ หลังทราบข่าวย้อนกลับมาถามเด็ก ตำรวจ/นักข่าว/ชาวบ้านและนายอำเภอมาทำเฮียอะไร (มีเสียงเด็กที่ได้ยิน)

วันที่ 24 ก.ค.66 เมื่อเวลา 08.00 น.ชาวบ้าน นักเรียน โรงเรียนสรีพรรณสันติภาพ นาฝาย ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ นับ 100 คน รวมตัวถือป้ายเข้าโรงเรียน เพื่อประท้วงต้องการให้ ผอ.ย้ายออกจากพื้นที่ภายใน 24 ชม.ให้เหตุผลว่าไม่พอใจที่ ผอ.ไม่ให้สามารถเข้ากับชาวบ้าน นักเรียน และครูในโรงเรียนได้

ซึ่งต่อมาได้นายเศรษฐี แพรกนัทที นายอำเภอบ้านด่าน และตำรวจ สภ.บ้านด่าน เข้าไปตรวจสอบ แต่ไม่พบ ผอ.โรงเรียน เพราะยังไม่เข้ามาทำงาน เบื้องต้นนายอำเภอ ได้เป็นคนรับหนังสือที่ชาวบ้านเขียนร้องเรียนถึงเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 ซึ่งเอกสารข้อร้องเรียนต่างๆถึงการกระทำของ ผอ.โรงเรียน และลายชื่อชาวบ้านที่ร่วมกันลงนามขับไล่ ผอ.ผ่านนายอำเภอบ้านด่าน โดยนายอำเภอรับปากจะรีบดำเนินการเรื่องการส่งหนังสื่อให้รวดเร็วที่สุด

นางวรรณ เชื่อมรัมย์ อายุ 53 ปี อยู่เลขที่ 53 ม.10 ชาวบ้านในหมู่บ้าน กรณีในเรืองราวในโรงเรียนตนไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่เจอกับตนเองคือ หลานถูกรถ ผอ.เฉี่ยวชนในโรงเรียน แต่ ผอ.ไม่ออกมารับผิดชอบ

เมื่อผู้ปกครองถามขอเงินค่าตรวจสมองเด็กจำนวนเงิน 500 บาท กลับโดน ผอ.สวนกลับและท้าให้ไปแจ้งความหรือฟ้องร้องเอาเอง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาในความรู้สึกส่วนตัว ผอ.ไม่อยู่ในสายตาและไม่เคารพ

นางหนูพลอย เชื่อมรัมย์ 46 ปี อีกหนึ่งชาวบ้านที่ไม่พอใจ ผอ.ชวลิต ระบุว่า เยาวชนในหมู่บ้านไม่สามารถใช้สนามฟุตบอลในโรงเรียนใช้ได้เหมือนที่ผ่านมา เพราะ ผอ.ไม่อนุญาต ทำให้เยาวชนในหมู่บ้านไม่มีสถานที่ออกกำลังกาย เพราะทั้งหมู่บ้านมีสนามฟุตบอลเพียงแห่งเดียว และยังมีเสียงเล่ามาอีกว่าไม่สนว่าเมืองนี้จะเป็น “เมืองกีฬา” หรือไม่

เช่นเดียวกับนางสาวธัญญา หลงพิมาย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่78 ม.6 บ้านนาฝาย ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ แม่ค้าในหมู่บ้านกล่าวว่า ตอนนี้บรรดาแม่ค้ารายเล็กๆที่เคยไปขายของอยู่ในโรงเรียน ผอ.ไม่อนุญาตให้เข้าไปขายแล้ว จากที่ผ่านมาทุก ผอ.ชาวบ้านจะนำสินค้าไปขายหน้าโรงเรียน หรือบริเวณโดยรอบได้ การกระทำดังกล่าวของ ผอ.คนนี้ ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า”รับไม่ได้”เพราะขืนอยู่ต่อไปจะทำให้เกิดความแตกแยกในชุมชน จึงอยากให้ย้ายออกไปโดยเร็ว เพราะชาวบ้านไม่ต้องการแล้ว

โดยหลังจากนายอำเภอรับหนังสือข้อร้องเรียนของชาวบ้าน ได้มีการแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อรอผลการพิจารณาของ ผอ.เขตฯรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ ได้ออกไปจากโรงเรียน

ต่อมาได้มีชาวบ้านโทรศัพท์มาร้องเรียนอีกว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ทุกส่วนกลับออกจากโรงเรียนไป ผอ.เขตได้ขับรถเข้าโรงเรียน แล้วถามเด็กๆนักเรียนว่า ชาวบ้าน,ตำรวจ, นักข่าว และนายอำเภอ”มาทำเฮียอะไร”ซึ่งอาจจะไม่พอใจที่เข้ามาตรวจสอบ ชาวบ้านยังอัดคลิปเด็กนักเรียนถึงพฤติกรรมของ ผอ.ว่า นักเรียนระดับ ป.3 โดน ผอ.ด่าด้วยคำหยาบคายว่า”กวนตีนนะมึง”ครูบางคนถึงกับร้องไห้เพราะ ผอ.ด่า

ผู้สื่อข่าวสอบถาม ผอ.ชวลิต ทางโทรศัพท์ ได้รับคำตอบว่า ผอ.เขต ไม่ให้สัมภาษณ์ หรือให้ข้อมูลใดๆกับใคร เป็นหน้าที่ของ ผอ.เขตที่จะมาตอบข้อซักถามได้

สำหรับหนังสือข้อร้องเรียนของชาวบ้าน มีหลายข้อประกอบด้วย

1.ไม่เอาชุมชน ไม่เข้าร่วมงานประเพณีต่างๆของชุมชนและมีการเลือกปฏิบัติต่อชุมชนทั้ง 3หมู่บ้าน
2.ไม่ให้เกียรติและไม่ให้ความสำคัญประธานกรรมการสถานศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษา
3.ใช้อำนาจในทางมิชอบโดยบังคับครูให้ทำผลงานทางวิชาการและแฟ้มประเมินผลงานทางวิชาการของตนเองศึกษา เพื่อใช้เลื่อนวิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โดยออกคำสั่งให้ครูปฏิบัติตาม และทำในเวลาราชการซึ่งเป็นการเบียดบังเวลาราชการทำให้ครูไม่ได้สอนนักเรียน
4.ใช้อำนาจข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยนำผลการประเมินความดีความชอบ และการตัดคะแนน ข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงานทุกครั้ง
5.ใช้อำนาจข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน หากใครปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ให้บุคคลนั้นเขียนย้ายออกจากโรงเรียน ซึ่งครูส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตบริการนี้
6.ใช้คำพูด ดูหมิ่นเหยียดหยาม ไมให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา
7.เป็นบุคคลที่ขาดภาวะผู้นำ อารมณ์ร้อน โมโหร้าย โดยนำความเท็จว่าร้ายคณะครูและบุคคลอื่นไปเล่าสู่บุคคลภายนอก เช่น นักเรียนใน โรงเรียน บุคคลอื่นนอกโรงเรียน เป็นต้น
8.มีพฤติกรรมการจับผิดครูด้วยการนั่งดูกล้องวงจรปิด ซึ่งผู้อำนวยการไม่เข้าโรงเรียนและกล่าวหาว่าครูที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปจับกลุ่มนินทาว่าร้ายผู้อำนวยการ
9.กล่าวหาข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่และไม่ได้รับโทรศัพท์ผู้อำนวยการผู้อำนวยการ