วันที่ 29 เมษายน 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาหว้า ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ภายในกุฏิเจ้าอาวาสวัดแสงอุทัยศิริพัฒนาราม บ้านตาลน้อย หมู่ 7 ต. นาหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี กับนายชินกร (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ทาสยาบ้าใจบาป ผู้ต้องหาทางความผิดคดีบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และปัสสาวะเป็นสีม่วง หลังก่อเหตุบุกเข้าไปทำร้ายพระครูประสงค์ ฑีฆายุโก อายุ 88 ปี หรือหลวงตาสงค์ เจ้าอาวาสวัด ได้รับบาดเจ็บมีแผลฉกรรจ์บนคิ้วซ้าย ตาปูดบวม ถูกนำส่งตัวรักษาอยู่ที่ รพ.นาหว้าล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว

ในภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ยืนยันการกระทำของนายเฮงหลี ผู้ต้องหา โดยเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. วันที่ 28 เมษายน 2567  ได้ปั่นรถจักรยานมาจอดที่หน้ากุฎิ ก่อนเดินขึ้นไปบนกุฎิ ลักษณะชั้นเดียวยกพื้นสูง โดยใช้เท้ากระทืบเจ้าอาวาส ขณะนั่งอยู่ในกุฏิหลังเพิ่งฉันเช้าเสร็จใหม่ๆ จนฟุบกองกับพื้น และยังใช้กำปั้นชกหน้าซ้ำอีกสองครั้ง จนคิ้วซ้ายแตก แพทย์เย็บถึง 15 เข็ม จากนั้นยายเฮงหลีก็เดินลงกุฏิเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภายหลังหลวงตาสงค์ ได้ลากสังขารในสภาพเลือดเต็มใบหน้า ออกมาขอความช่วยเหลือจากพระลูกวัด และชาวบ้านนำตัวส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล

สอบถามเพื่อนบ้านและชาวบ้าน ระบุว่านายเฮงหลีผู้ก่อเหตุ ปกติเคยมีครอบครัว ทำงานอยู่กรุงเทพ มีลูกสองคน เมื่อสองปีที่ผ่านมาได้เลิกรากับภรรยา และกลับมาอยู่บ้านกับแม่ และยังไม่มีงานทำ จนกระทั่งเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด หมกตัวเสพยาบ้า ไม่คิดจะหาทำงาน ที่สำคัญชอบไปขอเงินกับพระในวัด โดยหลวงตาสงค์เจ้าอาวาส  เคยเมตตาให้เงินมาหลายครั้ง จนนายเฮงหลีได้ใจ พอไม่มีเงินจะแสดงความไม่พอใจ และเคยบุกไปทำลายข้าวของในกุฏิ ด้วยการใช้หนังสะติ๊กยิงกระจกหน้าต่างได้รับความเสียหาย จึงถูกตำรวจจับกุมไปดำเนินคดี สุดท้ายก็ปล่อยตัวออกมา และไม่พอใจที่มาขอเงินไม่ได้จึงก่อเหตุซ้ำสอง บุกทำร้ายร่างกายหลวงตาดังกล่าว

ทางด้าน นายพิน วงศรีชู อายุ 60 ปี หลานชายหลวงตาสงค์ เปิดเผยว่าผู้ต้องหาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน มีพฤติกรรมก่อกวนขอเงินกับหลวงตาประจำ พอไม่มีเงินให้จึงเกิดความไม่พอใจ เมื่อเดือนที่แล้วเคยก่อเหตุใช้หนังสะติ๊กยิงทำลายกระจกหน้าต่างกุฏิเสียหาย แจ้งตำรวจจับกุมดำเนินคดี แต่ถูกปล่อยออกมา เชื่อว่ายิ่งทำให้ไม่พอใจ เคยประจันหน้ากับตน ถามว่าไม่พอใจอะไรหลวงตา นายเฮงหลีตอบแบบยียวนว่าเป็นเรื่องส่วนตัว มั่นใจไม่พอใจที่ขอเงินแล้วไม่ได้ จึงเรียกร้องให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และให้ลงโทษสถานหนักในทุกความผิด เพราะเกรงว่าจะออกมาเป็นภัยสังคม