ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุง ว่าชาวบ้านในพื้นที ม.1 ต.แหลมโตนด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง หาหลักฐาน ภาพจากกล้องวงจรปิด หลังจาก จ.ส.อ.ธนากิจ ชุมพงศ์ ทหารช่างที่ 402 ค่ายอภัยบริรักษ์พัทลุง สังกัดกองพลพัฒนาภาค 4 ได้ขับนรถยนต์เก่งสีดำไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับรถมาจอดตรงหน้าบ้านเลขที่ 225 ม.1 ต.แหลมโหนด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง แล้วใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า จำนวน 7 -8 นัดตามภาพและเสียงจากกล้องวงจรปิด ก่อนขับรถยนต์เก่งออกไปจากหน้าบ้านดังกล่าว จนสร้างความแตกตื่นให้ชาวบ้านและ สร้างความตกใจกลัว เพราะบ่อยครั้ง ที่ชาวบ้านบอก ทหารยศดังกล่าวชอบยิงปืนขึ้นฟ้าบ่อยครั้ง จนชาวบ้านในละแวกนั้นหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าแจ้งความเนื่องจากเกรงจะไม่ปลอดภัย

จนล่าสุด หลังจากที่ ทหารยศจ่าสิบเอก ทหารช่างที่ 402 ค่ายอภัยบริรักษ์พัทลุง สังกัดกองพลพัฒนาภาค 4 ได้ขับนรถยนต์เก่งสีดำไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มายิงขึ้นฟ้า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 67 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านเร่งหาหลักฐาน จากกล้องวงจรปิด เพื่อร้องเรียนไปยังต้นสังกัด ผ่านระบบอิเลคทรอนิค ถึงกองทัพภาคที่ 4 ให้ตรวจสอบ และสอบสวนข้อเท็จจริง และขอให้หน่วยต้นสังกัดนำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด แต่ผ่านมาหลายวันเรื่องยังเงียบ จึงน้ำหลักฐานเข้าร้องผู้สื่อข่าวช่วยอีกทางหนึ่ง
 

โดยชาวบ้านบอกว่าในเบื้องต้นนั้นที่ออกมาร้องเรียนเกรงจะไม่ปลอดภัย เพราะชาวบ้านในพื้นที่ทุกคนรู้ทหารยศดังกล่าวมีนิสัยอย่างไร แต่จำเป็นต้องทำเพราะทนพฤติกรรมดังกล่าวไม่ไหว เลยจำเป็นต้องร้องแบบลับดังกล่าว

ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา วันที่ 6 พย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดอีโอดีพัทลุง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวน สภ.ควนขนุน จ.พัทลุง และพนักงานสอบสวน ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ หน้าบ้านเลขที่ 225 ม.1 ต.แหลมโตนด จุดที่ ทหารยศจ่าสิบเอกยิงปืนขึ้นฟ้า โดยเจ้าหน้าที่ใช้เคื่องมีแสกนค้นหาปลอกกระสุน พบปลอกกระสุน จำนวน 2 ปลอก เป็นขนาด 9 มม. ที่คาดว่าเป็นของจ่าสิบเอกดังกล่าว ก่อนเก็บปลอกกระสุนปืนเพื่อส่งตรวจอีกครั้งเพื่อเทียบเคียงกับอาวุธของจ่าสิบเอกที่ก่อเหตุดังกล่าว
 

จากการสอบถามนายแต้ม เสื้อดำแขนขาว เพื่อนของจ่าสิบเอก คนดังกล่าว บอกว่า จ่าสิบเอกมาหาตนประจำ ก่อนไปนั่งเล่นกันในขนำริมสวนยางพารา ที่ห่างอกไปจากจุดเกิดเหตุ ราว 300 เมตร ก่อนหน้านี้ ได้ขับรถมาจอดที่บ้านหลังอื่น แต่ระยะหลังชาวบ้านไม่ให้จอด จนกระทั่งขับมาจอดที่บ้านหลังดังกล่าว แล้วชาวบ้านได้ผูกวัวไว้หน้าบ้าน ทำให้วัวไปสีกับรถจนรถสีถลอก ทำให้จ่าสิบเอก ที่เดินออกมาจากขนำเห็นแล้วไม่พอใจยิงปืนขึ้นฟ้าดังกล่าว ตามที่ตนคิด

ขณะลุงไข่ เสื้อขาวกางแกงขาสั้นสีดำ เจ้าของวัวบอกว่าปกติ ตนผูกวัวไว้ที่บ้านประจำ แต่วันนี้ จ่าสิบเอก ขับรถมาจอดแล้วเดินลงจากรถ เพื่อไปมั่วยาเสพติด ในขนำริมสวนยาง ที่มามั่วเสพยาเป็นประจำกับเพื่อน พอกลับมาเห็นรถ บวกกับอาการเต็มหลังเสพยาจึงยิ่งปืนเพื่อความสะใจดังกล่าว ขณะที่ตนได้ยินเสียงปืนวิ่งกลับมาดูเนื่องจากคิดว่าวัวที่ตนผู้ไว้จะถูกยิง เลยสวนทางกับจ่าสิบเอก คนดังกล่าว ตนดักถามว่ายิงปืนทำไม แต่จ่าสิบเอก ไม่พูดแล้วขับรถไปหน้าตาเฉย บอกตรงๆนิสัยจ่าสิบเอก คนนี้ ถ้าไม่พอใจอะไรแล้วชอบยิงปืนขึ้นฟ้าและชอบกร่างใสชาวบ้านบ่อยครั้ง โดยบ้านทหารนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไป เกือบ 2 กิโลเมตร
 
 
ขณะที่กองทัพภาค 4 ชี้แจง ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว กรณีทหารยิงปืนในที่สาธารณะ พื้นที่ จ.พัทลุง ข้อความระบุว่า ชาวบ้านสุดทน ทหารยศจ่าสิบเอกชอบกระหน่ำยิงปืนขึ้นฟ้า ร้องต้นสังกัดเอาผิดวินัย โดยเหตุเกิด ในพื้นที ม.1 ต.แหลมโตนด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นั้น

ล่าสุด วันที่ 6 พ.ย. 67 พันเอก วัชรกร อ้นเงิน โฆษกกองทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน และได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นให้ผู้บัญชาการทหารบกทราบแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า กำลังพลที่ยิงปืนดังกล่าวเป็นทหาร สังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกความชำนาญการทางทหาร (ชกท.) เพื่อปรับย้ายไปรับราชการที่ กองพันทหารช่างที่ 402 กองพลพัฒนาที่ 4 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง โดยคู่กรณีเป็นทหารด้วยกัน สาเหตุจากเรื่องขัดแย้งและมีปัญหากันส่วนตัว เหตุเกิดเมื่อ 12 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ควนขนุน จ.พัทลุง และได้มีการร้องเรียนร้องทุกข์เพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยทหารแล้ว ซึ่งผลการสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการ
 

ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 4 ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและสร้างความไม่สบายใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ขอยืนยันว่า ทางกองทัพไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งการทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเข้าข่ายมีความผิดทางอาญาแล้ว จะมีโทษทางวินัยทหารด้วย โดยจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และพร้อมอำนวยความสะดวกในทางคดีอย่างเต็มที่ และต้องขออภัยเป็นอย่างสูงต่อพี่น้องประชาชนมา ณ โอกาสนี้