จากกรณีที่เพจดัง ได้มีการเปิดเผยคลิป และข้อความว่า “โดนเพื่อนรุมหยุมหัวใน รร. คุณครูบอกอย่าแจ้งความ เพราะจะทำให้ รร. เสื่อมเสียชื่อเสียง ส่วนเพื่อนผู้ชายถ่ายคลิปหัวเราะมีความสุขมือสั่น อยากเปิดชื่อ รร. เลยนะคะแบบนี้ ศรีสะเกษ” คลิปวีดีโอ ดังกล่าว  ปรากฏภาพนักเรียนหญิง โรงเรียนแห่งหนึ่งสวมชุดพละสีเหลือง และได้รุมทำร้าย จิกผมและกระทืบศีรษะนักเรียนหญิง ที่นอนอยู่ที่หลายครั้ง ก่อนทีนักเรียนหญิงที่ถูกทำร้าย จะลุกขึ้น พยายามเดินหนี และโดนถีบที่ก้น อีก 1 ครั้ง  ก่อนเดินออกไปนอกห้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลเสื่องข้าว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากสืบทราบข้อเท็จจริงว่า  เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น ในห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ตำบลเสื่องข้าว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเวลาประมาณ 15 .00 น. ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568  ซึ่งเป็นการทะเลาะกันระหว่าง เด็กหญิง เอ อายุ 14 ปี (นามสมมุติ) นักเรียนหญิง ชั้น ม.2  พร้อมด้วยเพื่อนร่วมชั้น จำนวน 1 คน ก่อเหตุรุมทำร้าย โดย เด็กหญิง เอ ได้มือจิกผมและใช้เท้ากระทืบที่ศีรษะ เด็กหญิงบี อายุ 13 ปี นักเรียนหญิง ชั้น ม. 1 จำนวนหลายครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เวลา 09.00 น. วันที่ 8 มีนาคม 2568 นายลิขิต เพ็งประสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 พร้อม นายรัตนสิทธิ์ โสภณ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกิดเหตุ และคณะ เจ้าหน้าที่ นักจิตวิทยา ลงพื้นที่  บ้านของนักเรียนหญิงที่ก่อเหตุ และ นักเรียนหญิงที่ถูกกระทำ  เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง พร้อมได้นำผู้ปกครอง ทั้ง 2 ฝ่าย มาพูดคุยปรับความเข้าใจ และหาแนวทางมาตรการในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ โดยมีนักจิตว

จากการสอบถาม เด็กหญิง เอ อายุ 14 ปี นักเรียนหญิง ที่ก่อเหตุภายในคลิป เปิดเผยว่า ตนและเด็กหญิง บี เป็นเพื่อนกันมานานและเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก โดยวันที่เกิดเหตุ ตนถูกเด็กหญิง บี  กล่าวหาว่า ไปด่าบุพการีของเขา ซึ่งตนไม่ได้ด่า แต่อย่างใด ก่อนทีจะถูก เด็กหญิง บี ตบหน้าก่อน จำนวน 1 ครั้ง  ตนจึงตบหน้าเด็กหญิง บี กลับคืน  หลังจากนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายกันที่เกิดขึ้นตามคลิปวีดีโอที่ออกไป

ด้านเด็กหญิง บี นักเรียนหญิงที่ถูกทำร้าย ภายในคลิป เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้ เริ่มจากที่ตนและเด็กหญิงเอ ได้ด่าบุพพารี กันทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนที่ตนจะเป็นฝ่ายตบหน้า เด็กหญิงเอ ก่อน หลังจากนั้น ตนได้นอนเล่นโทรศัพท์ จนกระทั่ง เด็กหญิงเอ จะได้เรียกเพื่อนให้เข้ามาช่วย รุมทำร้ายตน โดยเด็กหญิง เอ จิกที่ศีรษะตน ขณะที่เพื่อนของเด็กหญิง เอ ได้จับตนไว้และถีบตน ก่อนที่จะถูกเด็กหญิง เอ กระทืบที่ศีระษะหลายครั้ง ก่อนที่ตนจะลุกขึ้นได้ และวิ่งหนี ไปนอกห้อง เพื่อบอกครู ให้ได้รับทราบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ขณะที่ นายรัตนสิทธิ์ โสภณ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งทั้งเด็กหญิง เอ และเด็กหญิง บี  นั้น เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และเล่นด้วยกันอยู่เป็นประจำ อีกทั้ง ยังเป็นญาติพี่น้องกัน และบ้านใกล้เรือนเคียงกันอีกด้วย ซึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เกิดการหยอกล้อและเกิดการเคืองกัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ปรากฏดังคลิป หลังทราบเรื่องในวันต่อมา(วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ) ตนได้เชิญผู้ปกครอง และนักเรียนหญิง ทั้ง 2 ฝ่าย มาพูดคุยปรับความเข้าใจและแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ไปแล้ว ซึ่งทั้งคู่ก็เข้าใจกันด้วยดีและไม่มีเรื่องราวต่อกัน จนกระทั่งเกิดมีการปล่อยคลิปดังกล่าวตามเพจต่างๆในโลกออนไลน์ ซึ่งมาจากทางแม่ ของเด็กหญิง บี ที่ถูกกระทำ ซึ่งทำงานอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่ทราบเรื่องที่แน่ชัด ว่าทางโรงเรียนได้มีการแก้ไขปัญหากับทางผู้ปกครองแล้ว จึงได้มีการโพสต์คลิปลงบนโลกออนไลน์  ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรก ทางโรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนตั้งแต่ทราบเรื่องแล้ว  

นายลิขิต เพ็งประสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 กล่าวว่า  ตนได้แจ้งให้กับทางโรงเรียนทำรายงานชี้แจงให้ตนได้รับทราบ เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยจะมีระบบในการช่วยเหลือนักเรียน กำชับให้คณะครู ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้จักเด็ก รู้ปัญหาเด็ก และคอยดูแลใส่ใจ ให้ทัศนคติในการอยู่ร่วมกันในโรงเรียน อย่างมีความสุข ดูแลอย่างใกล้ชิด และเพิ่มมาตรการการดูแลให้มากขึ้นต่อไป

ขณะที่ นายสุริยา พ่อของเด็กหญิง บี ที่ถูกทำร้าย เปิดเผยว่า  ลูกของตนได้นำคลิปที่ถูกทำร้ายมาให้ตนดู และบอกสาเหตุของการเกิดเหตุว่า เกิดมาจากการด่าพ่อแม่กัน ในตอนที่ตนเห็นคลิปครั้งแรกตนก็รับไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องของเด็ก  และทั้ง 2 คน ทั้งลุกสาวตนและผู้ก่อเหตุ ก็เป็นญาติพี่น้องกัน และหลังเกิดเหตุทางโรงเรียนได้แจ้งให้ตนทราบและเรียกไปพูดคุยกันแล้ว ซึ่งตนไม่ได้ติดใจเอาความในเรื่องนี้แต่อย่างใด