วันที่ 15 มี.ค.68  ที่ห้องประชุมโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาชน ได้นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และผู้สนับสนุนพรรคประชาชนทำกิจกรรมตามโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชนประจำปี 2568 หัวข้อ "บทบาทของท้องถิ่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทยในภาวะวิกฤต" จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บนเวทีนายณัฐพงษ์ได้ปราศรัยแนวคิดของท้องถิ่นและการศึกษาในมุมมอง 5 มิติ ยกตัวอย่างการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาดูงานที่ผ่านมาเป็นเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำโดยไม่ตอบโจทย์ หากงบประมาณลงลึกไปถึงท้องถิ่นก็จะสามารถตอบโจทย์และท้องถิ่นก็จะมีบทบาทมากขึ้น

โดยมี ส.ส. จ.เชียงราย ทั้ง 3 คนคือเขต 1 นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ เขต 3 นายฐากูร ยะแสง และเขต 6 นางจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม ได้กล่าวถึงประสบการณ์และบทบาทในการเป็น ส.ส.ต่อการพัฒนาท้องถิ่นที่ผ่านมา รวมทั้งจัดให้ ส.ส.ของพรรคหลายคนสลับกันเสวนาในกลุ่มใหม่ คือ นายณรงค์เดช จุฬางกูร,นายฐากูร ยะแสง,อาจารย์ปารมี ไวจงเจริญ หรือครูจวง ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาที่ต้องสอดคล้องกับการเกษตรไทย เพราะยุคปัจจุบันมีสินค้าจากต่างประเทศส่งเข้ามาหลากหลาย เช่น เกษตรกรรายหนึ่งที่ จ.ราชบุรี เคยเพาะเห็ดขายและเก็บเห็ดเอาไว้ได้นาน 3 วัน แต่ปรากฎว่าเห็ดจีนที่นำเข้ามามีลักษณะเดียวกันแต่กลับเก็บไว้ได้นานถึง 2 สัปดาห์ ดังนั้นภาคการเกษตรไทยจึงสมควรถึงเวลาพัฒนาให้เป็นการเกษตรเพื่อการส่งออก

โดยในช่วงบ่าย ที่สนามหญ้าโรงแรมเฮอริเทจ  พรรคประชาชนได้เปิดตัว ดร.ศราวุธ สุตะวงค์ อายุ 55 ปี ที่เพิ่งลาออกจากการตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย  เพื่อมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมกับทีม สมาชิกเทศบาลฯ  ซึ่งจะหมดวาระลงช่วงปลายเดือน มี.ค.2568 ที่มีนายวันชัย จงสุทธานามณี เป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายมาหลายสมัย

ดร.ศราวุธ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน อบจ.เชียงราย มาตั้งแต่ปี 2549 แต่ได้ลาออกเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้โดยถือเป็นการทิ้งอนาคตตัวเองเพราะตนเหลืออายุราชการอีก 5 ปี  เพราะได้เล็งเห็นถึงพรรคที่ยึดโยงกับประชาชนจึงเคยสมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และต่อมาเป็นพรรคประชาชน พรรคเคยชวนตนลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มาแล้ว หากลงสมัครก็คงเป็น ส.ส.มา 2 สมัยแล้ว ที่ผ่านมาเคยไปเห็นประเทศที่พัฒนาก้าวหน้าก็กลับมาเห็นการเสียโอกาสของประเทศไทย ทั้งๆ ที่เรามีคนเก่งมากมายโดยเฉพาะ จ.เชียงราย มีคนเก่งมากมายทั้งศิลปิน นักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ สิ่งแวดล้อม โยธาธิการและผังเมือง ดังนั้นเมื่อพรรคเชิญชวนให้ตนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายตนจึงไม่ลังเลที่ทำ

ดร.ศราวุธ กล่าวอีกว่า  ตอนนี้ไม่หนักใจเพราะนักการเมืองเชียงรายทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่ แต่เพราะอยากให้เมืองนี้เป็นเมืองของทุกคน เป็นตัวกลางในการประสานระหว่างผู้อาวุโส ปราชญ์ชาวบ้าน และคนรุ่นใหม่ให้เข้ากันได้ จึงได้นำเสนอนโยบายในการลงสมัครครั้งนี้ 4 ธงหลักคือ เมืองสะอาด เมืองสีเขียวตามที่สหประชาชาติกำหนด เมืองปลอดภัยสามารถดูแล้งกล้องวงจรปิดได้อย่างเรียลไทม์โดยเมืองที่ทำสำเร็จแลิวคือนครศรีธรรมราชที่ชาวบ้านสามารถดูกล้องได้กว่า 780 ตัว อาชญากรรมลดลง และเมืองสุขภาวะที่ดี ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้ป่วย กลุ่มเปลาะบาง คนยากจน จึงต้องยกระดับศูนย์การแพทย์ให้มีหมอที่ใกล้ชิด ประชาชน มีการดูแลผู้ป่วยติดเตียง และยังมีนโยบายปลักย่อยอีก 20 กว่าเรื่อง เช่น แก้ปัญหามูลนก ทำถนนที่เดินได้ พัฒนาสวนตุงและโคมที่เกิดจากการย้ายเรือนจำออกไปตั้งแต่ปี 2542 แต่ใช้พื้นที่ปีละเพียง 1 ครั้ง จะทำอย่างไรให้เป็นสวนสาธารณะคอมเพล็กซ์ มีรถอีวี-รถไฟฟ้า เชื่อมสถานที่สำคัญ เช่น วัด โรงเรียน ฯลฯ ในเวลาเร่งด่วน ฯลฯ ภายใน 100 วันจะบอกประชาชนว่าทำสิ่งใดสำเร็จและ 4 ปีที่ทำแล้วมีประสิทธิภาพ

"เทศบาลนครเชียงรายมีงบประมาณปีหนึ่ง 1,240 ล้านบาทต่อปี 1 สมัยมีเกือบ 5,000 ล้านบาท ถ้านักบริหารเมือง นักออกแบบ นักพัฒนาเมืองจะใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าที่สุดควรทำอย่างไร ปัญหาที่พบเจอคือปัจจุบันมีการขนขยะจากเขตเทศบาลนครเชียงรายไปทิ้งที่ ต.ห้วยสัก อ.เมืองเชียงราย วันละ 150-180 ตัน ซึ่งบ่อขยะตรงนี้อีกไม่เกิน 4-5 ปีก็จะเต็มเพราะเป็นการฝั่งกลบ ดังนั้นวิธีการกำจัดขยะที่ดีที่สุดคือการกำจัดตั้งแต่ต้นทาง ลดขยะไปสู่ปลายทางจะประหยัดงบประมาณปีละกว่า 40-60 ล้านบาทต่อไป จากนั้นก็จะนำงบประมาณส่วนนี้ไปพัฒนาฟิตเน็ตและด้านสุขภาพตามชุมชนต่างๆ ได้ต่อไป หากได้รับเลือกตั้งจะมีการจัดตั้งสภาพลเมืองโดยมีตัวแทนจากประชาชน ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทุกโครงการและกิจกรรมที่จะผ่านสภาเทศบาลจะต้องผ่านสภาพลเมืองก่อน หลังจากที่ผ่านมาตนมีความไม่สบายใจเมื่อมีการแบ่งเป็นฝักฝ่าย ตนจึงจะเริ่มลงพื้นที่พบปะประชาชนในปลายเดือนนี้เป็นต้นไปเพื่อนำเสนอนโยบายและวิธีการทำงานต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนเพราะผู้ที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายมักจะได้ระดับ 12,000-13,000 คะแนนแต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีกว่า 50,000 คนจึงเชื่อว่าจะได้รับโอกาส” ดร.ศราวุธ กล่าว