วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568 12:20 น.

สังคม-สตรี

50 ปี สัมพันธ์จีน–ไทย: เพื่อนบ้านที่เชื่อมด้วยภูเขาและสายน้ำ หุ้นส่วนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันทางเศรษฐกิจ และญาติมิตรที่มีชะตาร่วมกันทางสายเลือด

วันศุกร์ ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 12.52 น.

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 (50 ปีที่แล้ว) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมายาวนานในระดับประชาชนและภาคเอกชน เมื่อ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ตัดสินใจเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเจรจากับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล นำไปสู่ข้อตกลงในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐไทยและจีน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะเปิดสถานเอกอัครราชทูตในประเทศของตน และเริ่มต้นกระบวนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในมิติต่าง ๆ และได้กลายมาเป็นรากฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ขยายตัวต่อเนื่องตลอดห้าทศวรรษต่อมา

เพื่อนบ้านที่เชื่อมด้วยภูเขาและสายน้ำ

ไทยและจีนคือเพื่อนบ้านที่แม้จะมีพรมแดนคั่นกลางด้วยภูเขาและสายน้ำ แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาตินี้ย้อนกลับไปนับพันปี ตั้งแต่การค้าทางเรือในสมัยโบราณ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมผ่านเส้นทางการค้า การอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลที่มาตั้งรกรากในไทย และการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่หล่อหลอมทั้งสองสังคมอย่างแนบแน่น ชาวจีนในไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และครอบครัว ความเข้าใจและความคุ้นเคยในระดับประชาชนจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของความ

สัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคงและยั่งยืน

การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1975 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟนอยู่แล้วได้รับการยกระดับไปสู่อีกขั้น ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ไทยและจีนได้ร่วมมือกันในหลากหลายมิติ ทั้งในระดับรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมีการแลกเปลี่ยนคณะ ผู้นำ นักธุรกิจ นักศึกษา และศิลปินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและความไว้วางใจซึ่งกันและกันในระดับที่นานาชาติยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

หุ้นส่วนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันทางเศรษฐกิจ

ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนได้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้กรอบโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative – BRI) ที่ริเริ่มโดยจีนในปี 2013 โครงการ BRI ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงภูมิภาคผ่านโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสในการลงทุน การค้าการบริการ และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง

จีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 บริษัทจีนจำนวนมาก เช่น BYD, CATL, Huawei, และ Alibaba ได้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานสะอาด และโลจิสติกส์ นอกจากนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ที่เชื่อมโยงจากหนองคาย–นครราชสีมา–กรุงเทพฯ และเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟในลาวและจีน ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายเศรษฐกิจใหม่ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันผลักดันอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ส่วนด้านการลงทุนโดยตรงจากจีนในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มีมูลค่าสะสมหลายหมื่นล้านบาท โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างการจ้างงานให้กับคนไทยในระดับช่างฝีมือ วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญ แต่ยังช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยให้มีศักยภาพแข่งขันในเวทีโลกมากขึ้น

ส่วนบทบาทของฝ่ายไทยเอง ก็ไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายรองรับอย่างเดียว โดยประเทศไทยนั้น มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาและขยายอิทธิพลของจีนในหลายมิติ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม และความร่วมมือระดับภูมิภาค เริ่มตั้งแต่ กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ซึ่งเป็นบริษัทไทยบริษัทแรก ที่เข้าสู่ตลาดจีน ภายหลังจากการเปิดประเทศในปี 1978 โดยได้รับอนุญาตให้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น และเป็นนักลงทุนต่างชาติเจ้าแรกที่จดทะเบียนโครงการในพื้นที่นั้

ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนขยายถึงภาคอวกาศ เมื่อไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับจีนในการวิจัยสันติภาพในอวกาศ รวมถึงโครงการศึกษาภายนอกโลก ไทยร่วมพัฒนาเครื่องตรวจวัดอวกาศที่จีนเลือกใช้กับยาน Chang’e‑7 ซึ่งจะสำรวจขั้วใต้ดวงจันทร์ในปี 2026 ความร่วมมือนี้เปิดประตูให้ไทยเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูง และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการสื่อสารข้อมูล เทรนนิ่งบุคลากร และด้านวิจัยอวกาศในระดับสากล
ญาติมิตรที่มีชะตาร่วมกันทางสายเลือด

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านภูมิรัฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังลึกซึ้งถึงระดับสายสัมพันธ์ทางสายเลือด มีรากฐานยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่การค้าทางเรือในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งได้เชื่อมโยงทั้งสองประเทศให้มีความใกล้ชิด ขณะที่ชาวจีนจำนวนมากอพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างกลมกลืน

ในปัจจุบัน มีประชากรไทยเชื้อสายจีนกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 14% ของประชากรไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การศึกษา การเมือง และวัฒนธรรม บุคคลสำคัญในไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายคนก็มีเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง นายกรัฐมนตรี นักวิชาการ ศิลปิน หรือนักธุรกิจ

ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากยังคงรักษาความผูกพันกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านการพูดภาษาจีน การเข้าร่วมเทศกาล เช่น ตรุษจีน เชงเม้ง และสารทจีน ตลอดจนการศึกษาต่อในประเทศจีน การมีสายสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดเครือข่ายสังคมที่เอื้อต่อการขยายความร่วมมือในระดับประชาชนสู่ประชาชน (people-to-people ties) อย่างแน่นแฟ้น

มูลนิธิ สมาคม และหอการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนยังมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคเอกชนจีนกับไทย เป็นเครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนการศึกษา และการพัฒนาท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างทุนทางสังคมระหว่างสองประเทศให้มีพลวัตและความยืดหยุ่นท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สู่ชะตาร่วมกันในอนาคต

คำว่า "ชะตาร่วม" (命运共同体) ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่จีนร่วมมือด้วย ได้สะท้อนความจริงของความสัมพันธ์ไทย–จีนในปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่ร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังร่วมรับมือกับความท้าทายระดับภูมิภาคและโลก ทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทยกับจีน เรามิได้เพียงย้อนรำลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ หากแต่ยังได้มองเห็นเส้นทางแห่งอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ ทั้งสองประเทศพร้อมจะสานต่อความร่วมมือในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งในมิติของเทคโนโลยีดิจิทัล เศรษฐกิจเขียว การศึกษา และนวัตกรรม ด้วยความเชื่อมั่นในมิตรภาพที่หยั่งรากลึก ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และความปรารถนาร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น

50 ปีที่ผ่านมา คือบทพิสูจน์ของการเดินร่วมฝ่าฝนลมแห่งประวัติศาสตร์ แต่เส้นทางข้างหน้าคือการเฉลิมฉลองความร่วมมือที่จะยั่งยืนและดียิ่งขึ้น ไทยและจีนจะยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่เข้าใจกัน หุ้นส่วนที่เติบโตไปด้วยกัน และญาติมิตรที่ร่วมสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป
 

หน้าแรก » สังคม-สตรี

ข่าวในหมวดสังคม-สตรี