วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568 02:18 น.

การเมือง » คอลัมน์

แยกรัชวิภา

บ้านเมืองออนไลน์ : วันจันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 18.07 น.

ระบบอภิบาลกับประสิทธิผลขององค์การธุรกิจไทย

ระบบอภิบาลกับประสิทธิผลขององค์การธุรกิจไทย

 

ดร.วิชิต สุรดินทร์กูร

อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาเอก สาขาการบริหารการพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

 

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและปัจจัยแทรกแซงทั้งหลายในยุคโลกาภิวัฒน์ ส่งผลให้องค์การธุรกิจต้องปรับตัว องค์การธุรกิจจึงต้องมีวิธีการที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิผลให้ได้กำไรสูงสุด และต้องการสร้างความสามารถทางการแข่งขันที่ยั่งยืนให้แก่องค์การ โดยการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวองค์การจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับระบบคุณธรรมและจริยธรรมเพื่อให้การปฏิบัติงานในแต่ละส่วนของห่วงโซ่คุณค่าขององค์การเป็นไปอย่างราบรื่น

ระบบอภิบาล (Governance) หมายถึง กระบวนการในการปกครอง สามารถเป็นได้ ทั้งดี (Good Governance) และเลว (Bad Governance) ในประเทศไทยมีการแบ่งระบบอภิบาลแยกส่วนกันระหว่างแนวปฏิบัติภาครัฐและภาคเอกชน โดยเรียกแนวปฏิบัติภาครัฐว่าธรรมาภิบาล (Good Governance) และเรียกแนวปฏิบัติภาคเอกชนว่า บรรษัทภิบาล(Corporate Governance) ทั้งที่จริงแล้วล้วนมาทฤษฎีพื้นฐานเดียวกัน คือ ระบบอภิบาล (Governance) ทั้งนี้การที่เราใช้ระบบอภิบาลแบบแยกส่วนยังขาดการส่งเสริม และบูรณาการถึงความสามารถที่แท้จริงของระบบอภิบาล โดยเฉพาะในองค์การเอกชนที่ยังมีช่องว่างในการพัฒนาประสิทธิผลจากการใช้แนวคิดของระบบอภิบาลให้ครอบคลุมนอกเหนือจากบรรษัทภิบาล

ทั้งนี้แนวคิดเรื่องระบบอภิบาลได้มีการศึกษาในต่างประเทศ ดังในรายงาน An Overview of Corporate Governance and Accountability in Southern Africa 2007 ของ United Nations Economic Commission for Africa (UNECA) กล่าวถึงธรรมาภิบาลด้านเศรษฐกิจ(Economic governance) ว่าเป็นกระบวนการตัดสินใจและการกำหนดนโยบายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ภายในของประเทศและกระทบถึงความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจอื่น ๆ ธรรมาภิบาลด้านการเมือง(Political governance) ซึ่งเป็นกระบวนการกำหนดนโยบายที่มีผลต่อปวงชนในประเทศ ได้แก่รัฐสภาหรือฝ่ายการเมืองไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากการเลือกตั้ง แต่งตั้ง หรือเผด็จการ ธรรมาภิบาลด้านการบริหารรัฐกิจหรือภาคราชการ(Administrative governance) ซึ่งเป็นกลไกและกระบวนการในการแปลงนโยบายและทรัพยากรไปสู่การปฏิบัติ อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเที่ยงธรรม ซึ่งจะผ่านทางกลไกการกำหนดนโยบายและหน่วยงานปฏิบัติ

กว่าสิบปีที่ผ่านมานับแต่รายงานของ The Asian Development Bank (ADB) ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการนำระบบอภิบาลมาใช้ทั้งในภาครัฐและเอกชนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแต่ยังประสบปัญหาในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอรัปชั่น ในภาครัฐ และการโกงตกแต่งบัญชี ปั่นหุ้นในภาคเอกชนดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอ นอกจากนั้นจากการจัดอันดับ ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชั่นขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ประจำปี พ.ศ.2563 ประเทศไทยสอบตกอยู่อันดับที่ 104 จาก 180 ประเทศ และได้ 36 คะแนนจาก 100 คะแนน(Corruptionperceptionindex, 2020)

สภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าระบบอภิบาลในประเทศไทยยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้ ประการแรก ควรพิจารณาถึงระบบอภิบาลในมิติอื่นนอกจากธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาล ซึ่งยังเป็นระบบอภิบาลในระดับการบริหารภาครัฐและการจัดการภาคเอกชน แม้ว่าธรรมาภิบาลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงธรรมาภิบาลด้านการบริหารที่ใช้กับการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะกับข้าราชการประจำเท่านั้น เราควรที่จะพิจารณาธรรมาภิบาลทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเพิ่มเติมเข้ามาในกรอบการดำเนินงานด้านระบบอภิบาลของประเทศ ที่ประกอบด้วยธรรมาภิบาลด้านต่างๆ ในระดับมหภาคและจุลภาคซึ่งต่างก็มีส่วนร่วม หรือมีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศ ระบบอภิบาลที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปตามจุดมุ่งหมายการบูรณาการ ระบบอภิบาลจะเป็นการบูรณาการในระดับจุลภาคกับมหภาค และบูรณาการระบบอภิบาลในระดับต่างๆ ของธรรมาภิบาลด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม(ธวัช ภูษิตโภไคย, 2550, หน้า 1)

ดังนั้นถึงแม้ว่าการบูรณาการระดับจุลภาคประเทศไทยได้มีการดำเนินการในส่วนนี้อยู่แล้วคือ ธรรมาภิบาลองค์กรหรือการกำกับดูแลองค์กรที่ดี(Organizational governance) ซึ่งใช้กับองค์กรภาครัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และบรรษัทภิบาลหรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี(Corporate governance) ซึ่งใช้กับภาคเอกชนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ควรจะมีระบบอภิบาลที่ใช้ในระดับมหภาคไม่ว่าจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับระดับมหภาคประกอบด้วยธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการ ซึ่งก็คือหลักการธรรมาภิบาล สำหรับอุตสาหกรรมหรือวงการต่างๆทางภาคเอกชน เช่นธรรมาภิบาลสำหรับธุรกิจ SMEs ของสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ส่วนธรรมาภิบาลอีกสามระดับที่เหลือคือ ธรรมาภิบาลด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ล้วนมีอิทธิพลต่อธรรมาภิบาลด้านการจัดการ/บริหารและธรรมาภิบาล ระดับจุลภาค ธรรมาภิบาลด้านการเมืองจะมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและสังคม มาจากนโยบายต่างๆ ทางการเมืองที่ได้นำมาปฏิบัติล้วนแล้วแต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ธรรมาภิบาลทางด้านเศรษฐกิจก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคม เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับกลไกตลาด อย่างไรก็ตามธรรมาภิบาลด้านสังคมก็สามารถมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและการเมืองด้วยเช่นกัน ตรงนี้เองที่ Corporate Social Responsibility : CSR (ความรับผิดชอบทางสังคมเชิงบรรษัท) จะเข้ามามีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจและเศรษฐกิจจะต้องหันมาใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมพร้อมๆ กับการทำกำไรหรือหลักที่เรียกว่าไตรกำไร(Triple Bottom Line: TBL)

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการพัฒนาระบบอภิบาลให้มีมาตรฐานครบถ้วน จะสามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศได้ โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ทุกอย่างไหลเลื่อนไปได้อย่างเสรีไม่ว่าจะเป็นทุน สารสนเทศ ผู้คน ทำให้การปิดกั้นหรือแช่แข็งประเทศไม่อาจทำได้เหมือนอย่างในอดีต ประเทศไทยจะต้องใช้ประโยชน์จากระบบอภิบาลด้วยการเสริมสร้างระบบอภิบาลให้ครบถ้วนเพื่อเชื่อมโยงกับ PPPs และการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล