การเมือง » คอลัมน์
แยกรัชวิภา
บ้านเมืองออนไลน์ : วันศุกร์ ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 17.17 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ข้อมูลจากพระไตรปืฎก พบว่า พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธโคดม ส่วนใหญ่เป็นเม็ดขนาดเท่าเม็ดงา เม็ดผักกาด เม็ดถั่ว กลายเป็นพระธาตุใสเหมือนแก้วบ้างเหมือนมุกบ้าง แต่จะเป็นแท่งเพียง ๗ เท่านั้น
ใน คศ. ๑๘๙๗ (๒๔๔๐) มีการขุดพบกระดูกคนที่ชาวอังกฤษบอกว่า เป็นอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า เขาขุดโบราณสถานและพบผะอบใส่กระดูก ที่ฝาผอบ มีข้อความเขียนว่า "เราสุกิตติ กับพี่น้อง บรรจุพระอัฐิธาตุของศักยมุณีไว้สักการะ" ก็เชื่อเพราะชาวอังกฤษและชาวโลกคงไม่เชื่อว่า อัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า แปรสภาพเป็นพระธาตุ จึงไม่มีใครตั้งคำถามว่า ทำไมจึงเหมือนกระดูกคนทั่วๆ ไป แต่ชาวไทยส่วนใหญ่จะต้องตั้งคำถามว่า ทำไม จึงเหมือนกระดูกคนธรรมดา ถ้าจริง พระบรมสารีริกธาตุที่เป็นเม็ดใสเหมือนมุก เหมือนแก้วที่คนไทยสักการะมาสองพันกว่าปีคืออะไร แน่นอน ยังมีคนไทยที่ไม่เชื่อว่า พระบรมสารีริกธาตุพระพุทธโคดม กลายเป็นพระธาตุ จำนวนไม่น้อย ดังนั้น เมื่อมีหลักฐานว่า มีการค้นพบอัฐิธาตุและยืนยันว่า เป็นอัฐิธาตุของพระพุทธโคดม คนเหล่านี้ก็สาธุการ เห็นคล้อยตามฝรั่งอังกฤษว่า พระพุทธเจ้า ก็เป็นคนเหมือนมนุษย์ทั่วไป จึงมีอัฐิธาตุเหมือนกระดูกคน
จากผะอบที่นายเปเป้ ค้นพบ เมื่อเปิดออกดูพบกระดูกที่เชื่อว่าเป็นอัฐิธาตุพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวที่เป็นพระเขี้ยวแก้ว พระรากขวัญ หรือพระอุณหิศ รวมที่เป็นแท่งเป็นชิ้น ๗ ตามที่ชาวพุทธเชื่อถือมายาวนาน ข่าวการค้นพบว่า อัฐิธาตุพระพุทธเจ้า ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก ตอกย้ำความคิดที่ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม บอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นอินเดีย และเขียนประวัติพระพุทธศาสนาใหม่ ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นชาวอินเดียไม่ถึง ๑๕๐ ปี ความที่อินเดียส่วนใหญ่เป็นแขกขาวชาวเปอร์เซีย จึงไม่ไม่สามารถออกเสียงอักษรบางตัว คือออกเสียง ตัว ส S เป็น ฮ H ออกเสียงตัว ท T Th เป็น ด และออกเสียงตัว พ P ออกเสียง เป็น บ B คำว่า พุทธ ก็ออกเสียง เป็น บุ้ดด้ะ สินธุ ออกเสียงเป็น ฮินดุ๊ ชื่อพระพุทธเจ้าจึงสะกดเป็น Buddha แทนที่จะเป็น Putthaและเปลี่ยนฐานะจาก พระเจ้า (God Puttha) เป็นขุนนาง (Lord Buddha)
เมื่อข่าวการค้นพบอัฐิพระพุทธเจ้ากระจายไปทั่วโลก เจ้านายไทยพระองค์หนึ่งในสมัย ร.๕ (ขออนุญาตไม่เอ่ยพระนาม เป็นผู้มีบทบาทในการกราบทูลเสนอ ร.๕ ให้มีรัฐธรรมนูญ และให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญเยี่ยงประเทศที่ตนไปศึกษาเล่าเรียนคือ อังกฤษ และเสนอออกกฎหมายให้มีผัวเดียวเมียเดียว-Monogammyแต่ ร.๕ ตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลาอันควร ท่านจึงไปพำนักและบวชที่ศรีลังกา ได้ยินข่าวการค้นพบอิฐิพระพุทธเจ้า (อาจจะได้รับการขอร้องจากกรุงเทพให้ไปพิสูจน์ว่า อัฐิธาตุที่ฝรั่งค้นพบ เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่) ท่านจึงเดินทางไปพบ William C. Pepe ที่เมือง Pripahawaภายหลังเดินทางไปกัลกัตตา เข้าพบ Lord Curzon of Kedleston, Viceroy of India (1899-1905) อุปราชแห่งอินเดียซึ่งเพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ๆ พระภิกษุองค์นี้ก็บอกท่านอุปราชว่า ขอนำไปถวาย ร.๕ เพราะทรงเป็นพระศาสนูปถัมภก เมื่อ Lord Curzsonทราบว่า มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนา คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็แจ้งความประสงค์จะมอบอัฐิธาตุให้สยาม ฝ่ายสยามจึงมอบให้พระยาสุขุมนัยพินิจ (ปั้น สุขุม) เทศาภิบาลมณฑบนครศรีธรรมราช
มหาเปรียญ ที่เก่งภาษาอังกฤษ พร้อมด้วยหลวงพินิจอักษรและคณะรวม ๒๓ คน เดินทางไปรับมอบที่เมืองโครัชปูร์ รัฐอุตรประเทศ ด้วยเรือกลไฟอังกฤษ โดยมีนายวิลเวียม โฮย ข้าหลวงเมืองโครัชปูรฺ ตัวแทนฝ่ายอินเดีย เป็นผู้มอบ จากนั้นคณะทูตไทยก็เดินทางกลับไทย มาขึ้นฝั่งที่จังหวัดตรัง มีประชาชนจากจังหวัดภาคใต้มาต้อนรับมากมาย และเดินทางต่อมาถึงสมุทรปราการ ขึ้นบกและนำเข้าถวายในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๕ ทอดพระเนตร แล้ว ทรงถามว่า "ของจริงหรือ" ผู้เข้าเฝ้า ประกอบด้วยฝ่ายฆราวาสและฝ่ายสงฆ์ต่างกราบทูลว่า ฝรั่งบอกว่า จริง ก็น่าจะจริง พระองค์ก็ตรัสว่า ถ้าจริงก็นำไปไว้ในที่อันควร (ขอไม่เอ่ยชื่อสถานที่ที่นำพระบรมสารีริกธาตุอย่างกระดูกคนไปประดิษฐาน โปรดดูภาพอัฐิเปรียบเทียบกับกระดูกคนธรรมดาและพระบรมสารีริกธาตุตามความเชื่อคนไทยมาแต่โบราณกาล)
การอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน กระทำในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเสด็จไปอัญเชิญ เพราะทรงพระประชวร แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนคราชสีมาเสด็จแทนพระองค์
แต่พระองค์ก็ทรงพระประชวรจริง และเสด็จสวรรคคตในพ.ศ. ๒๔๕๓ (พระชนมายุ ๕๗ พรรษา) หลังประดิษฐานพระบรมสารีกธาตุอย่างกระดูกคน
อัฐิธาตุจากอินเดียส่วนหนึ่งประดิษฐานที่ปากน้ำโดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ เสนาบดีกระทรวงเมือง เป็นประธาน
ก่อนหน้านี้ ในพ.ศ. ๒๔๒๐ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่มีลักษณะเป็นพระธาตุ จากพระบรมมหาราชวังมาประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ก่อนแล้ว (หากนำอัฐิที่มีลักษณะเหมือนกระดูกคนจากอินเดียไปอยู่เหนือพระบรมสารีริกธาตุก็ไม่บังควร)
ถ้าอัฐิจากอินเดีย เป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง แล้วพระบรมสารีริกธาตุที่กลายเป็นพระธาตุใสเหมือนมุก เหมือนแก้ว เป็นผงขนาดเท่าเม็ดถั่ว เม็ดงาที่คนไทยเชื่อถือมายาวนาน เป็นของปลอมกระนั้นหรือ?
คนไทยก่อน สมัย ร๕. เชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวสยาม หรือ ไทยลว้า แต่ทำไมไม่มีคนไทยใครกล้าทักท้วง แต่กลับยอมรับว่า กระดูกจากอินเดียเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง
หากวิเคราะห์ให้ความเป็นธรรม ที่ฝ่ายไทย ต้องยอมรับโดยไม่โต้แย้ง ก็อาจเป็นเพราะเกรงอังกฤษจะไม่พอใจ เพราะเขาอุตส่าห์ เสนอมาให้หากไม่รับ ก็จะหาว่า ฝรั่งโกหก แล้วหาเรื่องเอาสยามเป็นเมืองขึ้นก็ได้ เพราะระยะนั้น อังกฤษกับฝรั่งเศสกำลังแย่ง "ก้อนเค้ก" คือสยาม โชคดีที่สยาม มีรัสเซียเป็นมหามิตร จึงรอดพ้นจาก การแก่งแย่งกันของอังกฤษและฝรั่งเศสได้อย่างปลอดภัย
อัฐิที่นำมาจากอินเดีย ขุดได้ที่ Birdpuraที่ตั้งคฤหาสน์ของชาวอังกฤษ ชื่อ William Claxton Pepe บริเวณเมือง Pripahawa (อินเดียอ้างว่าเป็นเมืองกบิลพัสดุ แต่ UNESCO ไปรับรองเมือง Tilaurakotของเนปาล เพราะเชื่อ Dr. Alois Anton Fuhrer (ท่านผู้นี้ภายหลังถูกปลดจากอธิบดี กรมสำรวจภาคเหนือของอินเดีย เพราะเอาฟันม้าไปหลอกขายให้พม่า ๑ ล้านเรียญ อ้างว่า เป็นทัณฑธาตุพระพุทธโคดม ที่มีขนาดใหญ่เพราะพระพุทธโคดมสูง ๑๘ ศอก พระเขี้ยวจึงมีขนาดใหญ่ นอกนี้ ใน ค.ศ.๑๙๐๒ Professor Rhys Davis ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดี ยังแย้งว่า เสาหินอโศกที่ Fuhrer อ้างว่า ค้นพบที่ Tilaurokotคือที่ที่อ้างว่าเป็นกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นเสาหินที่เพิ่งทำขึ้นใหม่)
อัฐิที่ Pepe ขุดได้ น่าจะไม่ใช่กระดูกของคนๆเดียว เพราะแต่ละชิ้นมีลักษณะต่างกัน ถูกนำมาไว้ที่ กัลกัตตา เมืองหลวงของ ฮินดูสถาน (Hindustan คืออินเดียปัจจุบัน หลังได้รับเอกราชแล้ว)
ภายหลังพระยายมราช นำมาที่กรุงเทพ พ.ศ.๒๔๔๒ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ใน ค.ศ.๑๙๗๔ ชาวอินเดียชื่อศรีวัสตวะ ก็ขุดพบผะอบ ๒ ใบ บรรจุ อัฐธาตุของพระพุทธเจ้า ใบเล็กมี ๘ ชิ้น ใบใหญ่มี ๑๒ ชิ้น
ในพระไตรปิฎก ยืนยันว่า พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นเม็ดขนาดเม็ดถั่ว เม็ดงาตามพระพุทธาทิษฐาน เพื่อให้แผ่กระจายไปทั่วชมพูทวีป เนื่องจากอายุพระพุทธศาสนาจะมีเพียง ๕๐๐๐ ปี ยกเว้นที่เป็นแท่ง ๗ ชิ้น คือ พระเขี้ยวแก้ว ๔ พระรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า) ๒ และพระอุณหิศ (กระดูกหน้าผาก) ๑ เท่านั้น นอกนั้นเป็นผง เช่น พระอุรังคธาตุ พระหทัยราช เป็นต้น
ส่วนพระอังคาร คือ ขี้เถ้า ทรงตรัสให้นำไปประดิษฐานที่ "ภูลอย" จังหวัดบุรีรัมย์ ภายหลังชาวบ้านเรียกภูลอยว่า "ภูพระอังคาร" (คนภาคกลางเข้าใจผิดนำขี้เถ้ากระดูกหรืออังคารจากที่เผาศพไป "ลอยอังคาร" คือเอากระดูกขี้เถ้าไปลอยน้ำ ซึ่งไม่ใช่พุทธประเพณี ชาวอิสาน ไม่มีประเพณีลอยอังคาร เหมือนคนกรุงเทพ)
ชาวอังกฤษพยายามชูประเด็นว่า พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ธรรมดา (Just a historical figure of India-not a God)ไม่ใช่ Thai God หรือ "พระเจ้า" ตามที่ ฯพณฯ เดอ ลา ลูแบร์ De la Lubereชาวฝรั่งเศส อ้าง (อังกฤษพยายามสร้างความไม่น่าเชือถือให้ฝรั่งเศส)
เมื่ออังกฤษพิสูจน์ว่า พระพุทธเจ้าคือคนธรรมดา นักวิชาการก็เชื่อตามว่า ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า และจัดให้พระพุทธศาสนาเป็น "อเทวนิยม" ถือเป็นการลบหลู่อย่างมหันต์
ที่จริงพระพุทธเจ้านับตั้งแต่องค์ปฐม คือ พระพุทธชินราช (พระพุทธมหาสมมติ หรือ พระพุทธสิขีที่ ๑) เป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งที่สุดในสกลจักรวาฬ (ยืนยันจากที่พ่อพรหมณ์ ทำพิธีบวงสรวงเทวดา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ใน พ.ศ. ๒๕๕๙ ในโอกาสที่ พ่อหลวง ร.๙ ครองราชย์ได้ ๖๐ ปี พ่อพราหมณ์อัญเชิญเทวดา โดย ได้เอ่ยพระนาม "สมเด็จพระพุทธชินราช" เป็นเทพองค์แรก)
หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ปฐม อุบัติขึ้นตามที่ปรากฏในพระคุมภีร์ "โลกอุปัตติ" ก็ทรงบัญญัติพระพุทธเจ้า ๓ ระดับคือ พระวิริยธิกพุทธเจ้า บำเพ็ญเพียร ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปป พระสัทธาธิกพุทธเจ้า (๘ อสงไขยแสนมหากัปป) และ พระปัญญาธิกพุทธเจ้า (๔ อสงไขยกับแสนมหากัปป์) หลังจากนั้นก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจำนวนจะนับจะประมาณมิได้ เท่าจำนวนเม็ดทรายในมหานที ทุกพระองค์ทรงปรินิพพานแล้วก็ทรงขึ้นสถิตย์ บนพระนิพพาน คือ โลกุตตรภาพ
พวกเราส่วนใหญ่ยังเวียนว่ายในโลกียภาพ ที่เหมือนบึงขนาดใหญ่ มีเกาะใหญ่น้อย แสนล้านเกาะ (โลกธาตุ=เอกภพ หรือ Universe) หรือ เทียบกับจานกลม บริเวณภายในจานกลมคือ โลกียภาพประกอบด้วยกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ส่วนนอกขอบจาน คือ โลกุตตรภาพ ที่เป็นดินแดนเกษม อมตะ คือ พระนิพพาน
ดังนั้น จึงยืนยันว่า อัฐิธาตุ ที่นำมาจากอินเดีย ไม่ใช่พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า แน่นอน เพราะไม่ใช่พระเขี้ยวแก้ว พระรากขวัญ และพระอุณหิศ
ขอกราบวิงวอนพระมหาเถรสมาคมพิจารณา นำอัฐิธาตุที่ฝรั่งอ้างว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุคืนให้ประเทศอินเดีย เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ดินแดนสยาม และขอให้เปลี่ยนชื่อจาก ไทย เป็น สยาม ดังเดิม ตามชื่อพระสยามเทพบุตร (พระสยามเทวาธิราช) สถิตย์บนสวรรค์ชั้นยามา ที่ปกปักรักษาดินแดนศักดิสิทธิ์เพื่อรองรับการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ (พระภิกษุ) หรืออรหันตบุคคล (ฆราวาส) ทุกพระองค์
ตลอดเวลากว่าร้อยปี ที่ "พระบรมสารีริกธาตุอย่างกระดูกคน" อยู่ในเมืองไทย มีแต่เรื่องไม่ดี เกิดขึ้น ประหนึ่งถูกครอบด้วยมนต์ดำ มีการปล้นอำนาจและจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน เห็นดีเห็นงามกับระบอบการแบบตะวันตก ไปรับการปกครองแบบฝรั่ง เกิดนักการเมืองปลวกที่โกงบ้านกินเมืองมากมาย
เกือบร้อยปีที่ปกครองแบบฝรั่ง เมืองไทยลงเอยด้วยการที่ประชาชนที่ร่ำรวยกระจุกเดียว คือ นายทุนครอบครอง ๘๐-๙๐% ของทรัพยากรของชาติ แต่คนยากจนกระจายไปทั่ว ประชาชนแก่งแย่ง ๑๐-๒๐% ที่เหลือจากนายทุน เมืองไทยสร้างหนี้ให้ลูกหลานเป็นล้านล้านบาท คนมีบุญจึงไม่ลงมาเกิดในเมืองไทยจำนวน เด็กเกิดใหม่เหลือเพียงปีละห้าแสนกว่าคน จากปีละล้านกว่าคนเมื่อสิบปีก่อน เมื่อคนเกิดน้อยลง แรงงานใหม่ไม่มีพอ ต้องอาศัยแรงงานพม่า เขมร ลาว จะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทย
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง » คอลัมน์
คอลัมน์ล่าสุด ![]()
...คำถามประจำวันเด็ก...
ใต้ถุนสภา- ปรากฏการณ์ "ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน" 21:25 น.
- “หนี้นอกระบบ” 05:33 น.