วันจันทร์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568 12:51 น.

การเมือง » คอลัมน์

แยกรัชวิภา

บ้านเมืองออนไลน์ : วันจันทร์ ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 13.32 น.

พุทธธรรมสำหรับการสร้างความเข้มแข็งแก่หมู่บ้าน ชุมชนและท้องถิ่น

พุทธธรรมสำหรับการสร้างความเข้มแข็งแก่หมู่บ้าน ชุมชนและท้องถิ่น

 

รองศาสตราจารย์ ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล

อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน

ที่ผ่านมานั้น จะพบว่าบทบาทของวัดในฐานะเป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้านและชุมชนมีหลายอย่าง ที่ปัจจุบันแม้จะลดน้อยลงไป แต่วัดก็ยังเป็นแกนกลางของหมู่บ้านและชุมชนอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ อาทิเช่น บทบาทของวัดเป็นแหล่งเรียนรู้หมู่บ้านและชุมชน  การจัดให้พื้นที่ลานวัดเป็นลานกีฬา หรือวัดเป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน บางวัดมีการจัดพื้นที่ให้ชุมชนเพื่อทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณะแก่ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการให้มาจัดตั้งสถาบันการเงินชุมชนขึ้น ตั้งกลุ่มอาชีพในวัด เพื่อผลิตสินค้าพื้นถิ่น การเลี้ยงผึ้งก็ยังมี หรือวัดเป็นแหล่งสนับสนุนการมีส่วนร่วมด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ให้วัดเป็นพื้นที่สาธารณะชุมชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการบ้านเมือง ที่สำคัญคือด้านวัฒนธรรมนั้น ดูจะมีบทบาทมาก อย่างเช่น กิจกรรมที่เป็นประเพณี เทศกาล ที่ทำร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดต่าง ๆ หรือด้านสาธารณูปโภคและระบบนิเวศ พบว่าวัดจะมีส่วนส่งเสริมสุขภาพชุมชน ท้องถิ่นมากในปัจจุบัน มีการสนับสนุนอาคารสถานที่แก่ชุมชนเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์สาธารณสุขชุมชนและเป็นศูนย์ประสานงานกับภาครัฐ ให้มีเจ้าหน้าที่มาดูแล ตัวอย่างบทบาทของวัดเหล่านี้ เห็นได้ชัดในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา

วัดจะมีวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน ชุมชน ท้องถิ่น ที่อยู่ในพื้นที่ตั้งของวัดได้อย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่จะมีการตั้งคำถามนี้ หากย้อนไปกว่าร้อยปีที่แล้ว ต้องทำความเข้าใจว่าแต่เดิมนั้น วัดเกิดได้เพราะการมีส่วนร่วมของคนในหมู่บ้าน ชุมชน ท้องถิ่น วัดเป็นของชุมชนท้องถิ่น ภายใต้ความคิดที่ตรงกันคือวัด เป็นสมบัติของหมู่บ้าน ชุมชน ที่สร้างสำเร็จได้ก็ด้วยความร่วมมือกันของชาวบ้านและชุมชน  จะเห็นได้ว่าแต่ละวัดจะมีสัญลักษณ์ชื่อบ้าน นามเมืองในท้องที่ ซึ่งถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของวัดในชุมชนอยู่ทั่วไป นอกจากนั้น วัดยังเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนให้เกิดพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ มีการกำหนดยยุทธศาสตร์การพัฒนาวัดให้สอดคล้องกับภูมิสถาปัตย์ชุมชน ให้มีสิ่งแวดล้อมที่ร่มรื่น มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เอื้ออำนวยต่อชุมชนในหมู่บ้านและท้องถิ่น

จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนามีแนวทางการนำพุทธธรรมไปสู่ชุมชนที่เน้นหมู่บ้าน ท้องถิ่น โดยให้น้ำหนักต่อการพัฒนาที่เน้นกระบวนการอย่างเป็นสำคัญ กล่าวคือสร้างการมีส่วนร่วมและมีความเข้าใจตรงกันในชุมชน ท้องถิ่นต่างๆว่า พุทธธรรมเป็นเรื่องของทุกคนหากทำได้อย่างนี้ จะช่วยให้เกิดการฟื้นคืนพุทธศาสนาสู่หมู่บ้าน ท้องถิ่น ชุมชน เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความเป็นไปได้จริงในที่สุด ความเข้มแข็งของหมู่บ้านและชุมชนเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยผู้นำที่ดี หมายความว่า ผู้ที่จะมานำชาวบ้านในชุมชนต้องมีหลักพุทธธรรมที่เป็นคุณสมบัติจำเป็นไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ความดีงาม ความรู้ ความสามารถที่จะหลอมรวมให้คนทั้งหลายมาประสานกัน และพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงาม

อย่างไรก็ตาม วัดในฐานะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาชุมชนแต่เดิมมานั้น ก็ยังมีความยากลำบากในการขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งกับหมู่บ้านและชุมชนไม่น้อย อย่างเช่น เรื่องการบริหารการพัฒนาชุมชน ในแง่ของการบริหารคน เนื่องจากทรัพยากรบุคคลของวัดยังมีข้อจำกัด การใช้บุคลากรที่ปฏิบัติงาน ยังมีความไม่เหมาะสมกับคนที่มี วัดยังขาดทักษะในการบริหารเงิน ต้องเสริมทักษะการทำระบบบัญชีเงิน และที่ผ่านมาความโปร่งใสในระบบการเงินยังมีอยู่ไม่น้อย โดยในเรื่องนี้ทางภาครัฐเอง คือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับวัดในพื้นที่หมู่บ้าน ชุมชนและท้องถิ่น โดยสถาบันการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง อาจจะต้องเข้ามาช่วยเหลือให้ความรู้และเสริมทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็น ให้เกิดการพัฒนาและสร้างภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมแก่พระสงฆ์ ผู้นำการพัฒนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในกระบวนการพัฒนาชุมชน

ในเรื่องนี้มีหลักพุทธธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในโคปาลสูตร โดยการเปรียบเทียบฝูงโค และโคจ่าฝูงเป็นหลักการที่ว่าด้วยหลักปฏิบัติของผู้นำและผู้ตาม เนื้อความมีอยู่ว่า โคหัวหน้าฝูงว่ายน้ำไปสู่ฝั่งตรงกันข้าม หากโคหัวหน้าฝูงว่ายไปตรง ฝูงโคทั้งหลายก็ไปตรงตามกัน และประสบกับความปลอดภัย หากโคหัวหน้าฝูงพาว่ายไปคดโคทั้งฝูงที่ติดตามย่อมจะดำเนินไปคด และประสบกับความลำบาก ฉันใด ในหมู่มนุษย์ ก็ฉันนั้น บุคคลผู้เป็นผู้นำหากมีคุณธรรมในการปกครองผู้ตามย่อมจะเดินตามด้วยดี และประสบกับความปลอดภัยหากว่าผู้นำที่เป็นหัวหน้าไม่มีคุณธรรมในการปกครอง ผู้ตามย่อมจะประสบกับความลำบาก ฉันนั้น

พระพุทธศาสนา อธิบายพุทธธรรมของผู้นำ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน ชุมชนไว้ 2 ลักษณะ คือประการแรก ผู้นำแบบธรรมราชา คือผู้นำที่ทรงไว้ซึ่งความรู้ในธรรมสามารถสร้างความสุขให้กับประชาชนโดยใช้ธรรมของพระราชา อาทิเช่น ทศพิธราชธรรม 10 ประการส่วนประการที่สองคือ ผู้นำแบบเทวราชา ซึ่งผู้นำลักษณะนี้ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับดุจเทพเจ้า เป็นสมมติเทพ  สูงกว่ามนุษย์ด้วยธรรมะ 2 ประการ ได้แก่หิริและโอตตัปปะหลักพุทธธรรมดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เป็นคุณธรรมของผู้นำชุมชน ท้องถิ่นเท่านั้น หากยังเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของคนในชุมชนท้องถิ่นให้สูงขึ้นในบริบทอื่นๆด้วย โดยพื้นฐานความคิดด้านการพัฒนาที่เป็นการบูรณาการพุทธธรรมในการจัดการ สู่การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ที่มีการใช้ในพื้นที่โดยอาศัยประยุกต์จิตวิทยาชุมชนและการสังเคราะห์เชิงพุทธธรรม ได้แก่ พุทธธรรมต่อไปนี้คือ หลักธรรมจักร 4 ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 อิทธิบาท 4 พละ 5สังคหวัตถุธรรม4อคติ 4 หลักพรหมวิหาร 4 และธรรมะสำหรับฆราวาส 4

หลักการพัฒนาชุมชนที่เน้นการพัฒนาเชิงสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ให้เข้มแข็ง เป็นการพัฒนาโดยนำทฤษฎีระบบมาใช้กับชุมชน เพื่อยกระดับชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองและจัดการชุมชนของตนเองได้นั้น เป็นแนวคิดและหลักการสากลที่นำพาคนในชุมชน สังคมไปสู่เป้าหมายที่เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนแห่งความดี และชุมชนแห่งความสุข การจะเข้าสู่การเป็นชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนนั้น ผู้นำชุมชนต้องมีทักษะด้านคุณธรรมเชิงประสิทธิภาพ มีความสามารถบูรณาการหลักธรรมสู่การสร้างเสริมความเข้มแข็งชุมชนโดยการนำทรัพยากรชุมชน สิ่งแวดล้อมชุมชนผสมผสานกับแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชาและกระบวนการพัฒนาจากวิศวกรสังคมมาเสริมกันและกันเพื่อสร้างความสมดุลในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ ด้วยกระบวนการพัฒนาดังกล่าวนี้ จะทำให้การพัฒนาชุมชนมีความเข้มแข็งตามแนวพุทธธรรมได้มากขึ้น ตลอดจนจะทำให้การพัฒนาประเทศที่เน้นชุมชนเป็นสำคัญมีทิศทางการพัฒนาที่จะผลักดันให้เกิดชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน