การเมือง » คอลัมน์
แยกรัชวิภา
บ้านเมืองออนไลน์ : วันจันทร์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2566, 22.33 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

เศรษฐฐานะทางนโยบาย เส้นทางเก้าอี้นายกฯ เลือกตั้ง”66
เศรษฐฐานะทางนโยบาย เส้นทางเก้าอี้นายกฯ เลือกตั้ง”66
รองศาสตราจารย์ ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล
อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน
เศรษฐฐานะ หรือเศรษฐกิจเชิงสังคม(Economic status or Socio-economic Status) เป็นการเจาะจงกลุ่มทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะถูกเปลี่ยนเป็นคะแนนโหวตของพรรคการเมือง ที่ทีมยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรคต้องทำการบ้าน ที่จะต้องหาทางโกยคะแนนเข้าพรรคให้ได้มากที่สุด โดยไม่ว่าจะมีการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของกลุ่มเศรษฐฐานะ หรือแม้จะต้องนำหลักการเศรษฐกิจสังคมมาค้ำยันให้ฐานคะแนนที่แต่ละพรรคยึดครองและหรือต้องการขยายฐานคะแนนพรรคออกไปให้มากขึ้น ซึ่งแต่ละพรรคที่มีคณะทำงานฝ่ายยุทธศาสตร์หรือนโยบายพรรคต้องหาวิธีการวิเคราะห์ทิศทางของการลงคะแนนเสียงในศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
ที่สำคัญ การวิเคราะห์จะเน้นเศรษฐฐานะ กลุ่มคนตามสถานะทางเศรษฐกิจและกลุ่มคนทางสังคม เพื่อพยากรณ์ทิศทางของผลการเลือกตั้งที่คาดว่าจะออกมาให้เป็นบวกกับพรรคการเมืองของตนให้มากที่สุด ตัวอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ขณะนี้มีนักวิเคราะห์ทางการเมืองฟันธงว่า การประเมินเศรษฐฐานะและเศรษฐสังคมค่อนข้างชัด และมีการนำมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคในการสู้ศึกเลือกตั้ง โดยเริ่มตั้งแต่เคมเปญเพื่อไทย แลนด์สไลด์ทั่วประเทศ โดยเมื่อวิเคราะห์บทบาทของพรรค จะเห็นว่ามีการชูยุทธศาสตร์อุ๊งอิ๊ง เพื่อเชื่อมโยงกับประชาชน โดยมองว่าสายสัมพันธ์ของอุ๊งอิ๊งที่แนบแน่นกับอดีต2 นายก อย่างนายกฯทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์สร้างการจดจำและการชวนให้คิดถึงอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนพี่น้องตระกูลชินวัตร การเปิดตัวหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การเปิดตัวประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การระดมพลขุนพลเศรษฐกิจเก่ง ๆ ตั้งแต่อดีตที่เคยช่วยพรรคกลับมาทำงานกับพรรคกันคึกคัก และที่ต้องจับตาคือพรรคเพื่อไทยจะเสนอนโยบายอะไรที่เป็นไม้เด็ดสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ กับการให้กำเนิดแลนด์สไลด์ทางการเมือง พร้อมกับการให้กำเนิดบุตรชายหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอย่างอุ๊งอิ๊งที่กำลังตั้งท้อง กำชัยชนะอย่างถล่มทลายได้หรือไม่ ตำนานแลนด์สไลด์ทั่วไทยจะเกิดขึ้นจริงจากนโยบายอะไร ภายใต้การเลือกตั้งครั้งสำคัญนี้ต่อไป
ย้อนมาที่คำว่า เศรษฐฐานะ หรือเศรษฐกิจเชิงสังคม อีกที ซึ่งที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งมากนัก เพราะเป็นเทคนิคด้านการสำรวจความต้องการครัวเรือน ซึ่งก็จะมีการจำแนกครัวเรือนออกเป็นกลุ่มตามฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยพิจารณาจากแหล่งรายได้ส่วนใหญ่ของครัวเรือน สถานภาพการทำงาน ประเภทของกิจกรรมในเชิงเศรษฐกิจ และอาชีพเป็นหลักที่ผ่านมามีการจำแนกเป็นกลุ่มได้9 กลุ่ม โดยเริ่มจากลุ่มที่ 1.เกษตรกรที่มีที่ดินทำกินทางการเกษตรเป็นของตนเอง 2.เกษตรกรที่เช่าที่ดินผู้อื่น 3.ผู้ดำเนินธุรกิจของตนเองที่ไม่ใช่การเกษตร 4.ผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ นักวิชาการและนักบริหารที่รับจ้าง 5.คนงานเกษตร 6. คนงานทั่วไป 7.เสมียนพนักงาน พนักงานขายและให้บริการ 8. ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต 9.ผู้ไม่ได้ปฏิบัติงานในเชิงเศรษฐกิจโดยหลักการแล้ว การแบ่งประเภทครัวเรือนตามสถานะทางเศรษฐสังคม จะขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของรายได้ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของครัวเรือน และสถานภาพการทำงานของผู้รับเงินรายได้สูงสุดของครัวเรือน ซึ่งในแง่นี้คือรายได้ที่มาจากหัวหน้าครัวเรือนซึ่งหากรายได้ของสมาชิกหลายคนซึ่งทำงานอาชีพเดียวกันและสถานภาพการทำงานเหมือนกันรวมกันแล้วเป็นรายได้ส่วนใหญ่ซึ่งใช้ในการดำรงชีพของครัวเรือนแล้ว ครัวเรือนนั้นจะถูกจัดเข้ากลุ่มตามอาชีพและสถานภาพการทำงานของบุคคลเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ครัวเรือนซึ่งมีหัวหน้ามีอาชีพทำนา แต่สมาชิกของครัวเรือนบางคนไปรับจ้างเป็นกรรมกร ซึ่งรายได้จากค่าจ้างมากกว่ารายได้จากการทำนา
ดังนั้น เศรษฐกิจเชิงสังคมจึงมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับฐานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มคน ในภาคส่วนที่สาม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ภาครัฐและไม่ใช่ตลาด แต่เป็นภาคสังคม โดยเศรษฐกิจลักษณะนี้จะมีความเป็นทางการน้อย ที่พบเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปของ องค์กรที่ตั้งขึ้นโดยไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรในการสร้างความร่วมมือ องค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ และองค์กรการกุศล ลักษณะของเศรษฐกิจเชิงสังคมไม่ได้เน้นการแข่งขันในระบบกลไกตลาดหรือเพื่อแสวงหาผลกำไร เป็นองค์กรเศรษฐกิจเชิงสังคม ที่มีความโดดเด่นคือเน้นความร่วมมือในแนวราบซึ่งหากจะลอกคราบกันจริง ๆ ก็เป็นไปได้ที่จะมองว่า คือการนำเศรษฐฐานะ เศรษฐกิจเชิงสังคมของกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศมาสร้างเป็นนโยบายประชานิยมที่มีการแปลงร่างและซ่อนรูปตามมายาคติที่หลากหลาย คือตามความอยากมี อยากได้ของกลุ่มคนในสังคม อย่างที่เห็น ค่อนข้างไปทางการให้คำสัญญา แบบสัญญาข้างถนน และเสาไฟทั่วไป
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นเชิงวิชาการที่ยังไม่ได้ถูกวิเคราะห์แปรออกมาเป็นผลคะแนนทางการเมือง แต่เมื่อมีการวิเคราะห์ทิศทางของกลุ่มต่าง ๆ ที่มีเศรษฐฐานะและกลุ่มเศรษฐกิจทางสังคมอย่างลึกซึ้งแล้วจะเห็นว่าการทำนโยบายต่างๆ จะมีผลมากต่อการลงคะแนน หรือที่เรียกว่ามีผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองหรือผู้สมัครของพรรคการเมืองใดอย่างเป็นด้านหลัก
แนนซี่ นีมตัน(Neamtan)นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สังคม ชาวแคนนาดา ได้จำแนกที่มาของเศรษฐกิจเชิงสังคมออกเป็น 5 ลักษณะ โดยระบุจุดเด่น คือการเป็นองค์กรที่มีจุดมุ่งหมายในการบริการสมาชิกและชุมชนในลักษณะองค์รวมมากกว่าที่จะมุ่งหวังเพียงผลประโยชน์หรือกำไรไม่ใช่หน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจที่เป็นประชาธิปไตย โดยใช้การมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางให้ความสำคัญกับคนและงานมากกว่าการกระจายหรือสนใจแต่รายรับและส่วนเกินจากการทำงานมีฐานคิดสำคัญจากหลักการมีส่วนร่วมการมอบอำนาจให้ประชาชนและความรับผิดชอบต่อปัจเจกบุคคลและส่วนรวม
ในขณะที่ระดับสากล คำว่าเศรษฐกิจเชิงสังคมถูกนำไปใช้กับการเรียกองค์กร 3 รูปแบบ โดยแบบที่หนึ่งเป็นองค์กรในส่วนของชุมชนที่อยู่ในระดับท้องถิ่น มีขนาดเล็ก และส่วนใหญ่การทำงานเป็นลักษณะของอาสาสมัคร เช่น สมาคมในชุมชน กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น องค์กรรูปแบบที่สองคือภาคส่วนอาสาสมัครเป็นหน่วยงานที่เป็นทางการ มีกฎหมายรองรับ สามารถดำเนินกิจการต่างๆได้เองโดยเป็นอิสระจากภาครัฐ การทำงานมีลักษณะไม่แสวงหาผลกำไร เช่น องค์กรการกุศลขนาดใหญ่ องค์กรรณรงค์ต่างๆ ในระดับชาติ เป็นต้น และองค์กรรูปแบบที่สามคือผู้ประกอบการทางสังคมเป็นหน่วยงานของภาคเอกชนที่มีเป้าหมายหลักในการทำงานเพื่อสังคมและการประกอบธุรกิจเมื่อได้ส่วนเกินหรือกำไรก็จะนำมามอบคืนให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวม ไม่ใช่นำกำไรเข้าองค์กรเพียงอย่างเดียว เช่น กลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาชน องค์กรความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเอกชน เป็นต้น
เศรษฐฐานะหรือเศรษฐกิจเชิงสังคมในประเทศไทยนั้นแม้จะถูกนำมากล่าวไว้ในเชิงวาทกรรมทางการเมือง แต่ก็ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างชัดเจนในเชิงวิชาการ เหตุผลคือสังคมไทยยังนิยมเรียกการทำงานแนวเศรษฐกิจเชิงสังคมว่าเป็นภาคประชาสังคม เน้นความเป็นจิตอาสามากกว่า ซึ่งไม่ได้ช่วยส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งหวังแต่ผลกำไรเติบโตเท่าที่ควร โดยที่จริงแล้วเศรษฐฐานะหรือเศรษฐกิจเชิงสังคม มีส่วนส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนและการพัฒนาประชาธิปไตยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังที่แคนาดาและญี่ปุ่นเคยนำมาใช้และมีผลตอบรับที่ดี
นับถอยหลังอีกไม่เกิน 9 วัน นับจากวันที่ 13 มีนาคม 2566 นี้ การยุบสภาก็น่าจะเกิดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งใหญ่ พรรคการเมือง พรรคไหนจะฝ่ามรสุมศึกเลือกตั้งใหญ่ที่รอนแรมมากว่า 2 ปีโหมดการเลือกตั้งที่นับวันจะงวดเข้ามา บรรยากาศที่ชุลมุนไปด้วยคิวพรรคการเมืองที่ชิงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต และว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ที่เกทับกันไปมาโชว์เป้าจำนวน ส.ส.เป็นรายวัน ต้องจับตาพรรคไหน พร้อมรบมากพรรคไหน ต้องวิบากกรรม ลุยไฟการเมือง ท่ามกลางกติการะบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ คงต้องดูกันวันต่อวันว่ากระแสแลนด์สไลด์ของบางพรรค จะส่งผลสะเทือนต่อพรรคการเมืองพรรคอื่น ๆ หรือไม่ การเดินทางครั้งใหม่ของประเทศ เพื่อสร้างการพัฒนาที่เต็มที่ถูกต้อง ประสานความร่วมมือประชาชนจะเลือกยืนเคียงข้างพรรคไหน ผู้นำพรรคการเมืองไหนจะแปรนโยบายเชิงเศรษฐฐานะให้กลายเป็นบันไดสู่ชัยชนะในการสู้ศึกเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลที่มุ่งมั่น ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ยึดมั่นในธรรมาภิบาล ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและประชาชน ยอมรับการตรวจสอบของประชาชน สร้างประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่ รุ่งเรื่อง แข็งแกร่ง เป็นประชาธิปไตย ในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ได้หรือไม่ คงติดตามกันต่อไป
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง » คอลัมน์
คอลัมน์ล่าสุด ![]()
...คำถามประจำวันเด็ก...
ใต้ถุนสภา- ปรากฏการณ์ "ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน" 21:25 น.
- “หนี้นอกระบบ” 05:33 น.