การเมือง » คอลัมน์
แยกรัชวิภา
บ้านเมืองออนไลน์ : วันเสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 17.46 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
เลือกตั้ง’66 จับตาหัวคะแนนธรรมชาติชี้ขาดรัฐบาล “เริ่มใหม่ หรือไปต่อ”
เลือกตั้ง’66 จับตาหัวคะแนนธรรมชาติชี้ขาดรัฐบาล “เริ่มใหม่ หรือไปต่อ”
รองศาสตราจารย์ ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล
อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
“ความหวัง” และ “ความเปลี่ยนแปลง” เป็น 2 สโลแกนคลาสสิกตลอดกาล ใช้ได้กับทุกการหาเสียงทั่วโลก ข้อแม้มีเรื่องเดียวคือจะต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์การหาเสียงอย่างดี และมีการนำมาใช้ในจังหวะที่เหมาะสม โดยแม้ว่าจะมีการมองว่าจะได้ผลดีตลอดกาลก็จริงแต่การใช้จริงแล้วต่างก็มีปัจจัยสนับสนุนทางสังคมอื่น ๆ ที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่กับการนำมาใช้ด้วย ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นกับสถานการณ์แต่ละแห่งหน ที่มีการเลือกตั้งด้วยว่าในประเทศไหน สังคมขณะนั้นเป็นอย่างไร กาลเทศะจะบิ้วอารมณ์ทางการเมืองได้ขั้นเทพอย่างไร หรือมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อารมณ์ของผู้ไปใช้สิทธิลงคะแนนอยู่เหนือเหตุผลในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้งนั้นด้วย ในแง่นี้ หากวิเคราะห์อารมณ์ของคอการเมืองอาจจะเกิดขึ้นได้กับทั้งกลุ่มผู้ลงคะแนนที่ตัดสินใจแล้ว และกับกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ โอกาสความเป็นไปได้ มีสูสีกันขึ้นกับว่าจะมีปัจจัยอะไรหรือไม่ ที่จะการมีส่วนร่วมกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความร้อนแรงจนกลายเป็นกระแสที่ถูกจุดติด เป็นสิ่งเร้าที่จะสร้างอารมณ์ส่งให้เปลวประกายอารมณ์การมีส่วนร่วมทางการเมืองลุกโชนและพร้อมส่งผลกระพือเปลวไฟไปสู่ชัยชนะการเลือกตั้งได้

สำหรับโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่ารายละเอียดของนโยบายจะไม่มีการพูดถึง แต่สิ่งที่ต้องการกันทุกพรรคคือ กระแสของพรรค กระแสของหัวหน้าพรรค จะเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันมาก พรรคไหนและหัวหน้าพรรคคนไหนอยู่ในกระแสอารมณ์ของการตัดสินใจคนได้มากกว่ากัน นั่นต่างหากที่จะเป็นตัวชี้ว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้ง
สมการเลือกตั้งครั้งนี้ คะแนนเห็นใจ กับคะแนนลังเลใจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จะมีการเทคะแนนให้ฝังไหนหรือไม่ เป็นปริศนาที่ยากจะทำนายผลจะเอนเอียงไปทิศทางไหน คะแนนทักษิณจะกลับบ้าน หรือการตัดสินการถือหุ้นของหัวหน้าพิธาลิ้มเจริญรัตน์ จะส่งผลอย่างไร
จะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ หากวิเคราะห์หัวเชื้อการเมืองและปัจจัยทางอารมณ์ที่เติมความร้อนแรงในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ มีให้เห็นได้อย่างน้อยสองเรื่อง โดยเรื่องแรก คือการส่งเสียงมาจากแดนไกล บอกว่าคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านมาเลี้ยงหลานของอดีตนายกฯ ประการที่สอง การเผชิญกับวิบากกรรมกรณีมีชื่อถือหุ้นสื่อไอทีวี ของผู้นำแห่งพรรคการเมืองขวัญใจคนรุ่นใหม่ปัจจัยทางอารมณ์สองเรื่องนี้ จะกำลังถูกสุมให้เป็นเพลิงแห่งความสงสาร และการเห็นอกเห็นใจ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และอาจจะกำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้อารมณ์ของผู้ลงคะแนนมีความร้อนแรงจนทะยานเป็นคลื่นสึนามิการเมืองไทย ในวันลงคะแนนวันอาทิตย์14 พฤษภาคม 66 นี้ และอาจส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นTHE LAST WAR สงครามครั้งสุดท้ายของนักเลือกตั้งบางคน ที่ไม่ว่าจะด้วยวัยที่มากต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา ประกอบกับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจอยู่ต่อในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปได้ ขณะที่สำหรับบางคน จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และกลายเป็นครั้งที่สอง ที่สาม ที่ทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ ๆ ได้โอกาส ที่แม้จะแพ้ในครั้งนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสในสมัยหน้า มองในแง่ที่การเมืองเป็นพลวัตก็เป็นเช่นนั้น คือได้เวลาเก่าก็ต้องไป ใหม่มาแทนที่ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุกข์ร้อนมากมาย หากเข้าใจอำนาจและผลประโยชน์ไม่ยั่งยืน สมบัติและอำนาจ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ต้องดูกันต่อไปว่าใหม่ที่เข้ามาจะทำได้ดีกว่าเก่า ที่จากไปแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม สำหรับวัฏจักรการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยกว่า 90 ปี มานี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การให้คำสัญญาที่มากมาย ทั้งที่เห็นกันตามข้างทาง ริมฟุตบาท ท้องถนน หรือตามเสาไฟฟ้าหากมีการสังเคราะห์และวิเคราะห์สถานการณ์การเลือกตั้งในสังคมไทย ระยะเวลาสัก 30 ปี ที่ผ่านมา จะมีสัญญาจากนักการเมืองผู้สมัครรับเลือกตั้งมากมาย หรือหากจะพูดให้ใกล้เข้ามา ในช่วง10 ปี การเลือกตั้งสองรอบที่ผ่านมา หากนำนโยบายทั้งหมด มาจัดเรียงดูจะพบว่า ประเทศไทยคือสวรรค์ คือวิมาน ก็ไม่น่าจะผิด เป็นประเทศที่มีทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เศรษฐกิจสร้างชาติ เป็นประเทศแห่งรัฐสวัสดิการ การศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ชุมชน ท้องถิ่นและท้องถิ่น อาจเข้าข่ายมาตรฐานคุณภาพชีวิตประชาชาติดีกว่าประเทศชั้นผู้นำของโลกด้วยซ้ำ
จะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ที่หากคำสัญญาเลือกตั้ง ในการรณรงค์หาเสียง เป็นคำสัญญาที่ได้ถูกนำมาเป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศได้หมดทุกคำสัญญา สังคมและประเทศชาติ คงไม่ต่างจากสวรรค์ที่ประชาชนอยากได้
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือว่า ช่วงที่รณรงค์หาเสียงทุกคน ทุกพรรคก็ต่างมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย ทุกนโยบายที่นำเสนอทำได้จริง บางพรรคได้เป็นถึงแกนนำรัฐบาล หลายนโยบายที่เคยพูดไว้ก่อนเป็นรัฐบาลว่าทำได้ทันทีด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้โอกาสเข้าไปบริหารเข้าจริงกลับทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจที่จะทำก็ไม่รู้ได้ เป็นเรื่องที่น่าขบคิด
ปรากฏการณ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ใครจะตัดขาใคร ใครจะตกปลาในบ่อเพื่อน ก็มีให้เห็นกันอยู่ เมื่อสมรภูมิการแข่งขันเริ่มต้น มิตรภาพเป็นเรื่องที่ต้องเก็บไว้ในลิ้นชัก ต่างฝ่ายก็ต้องการในสิ่งที่เหมือนกัน แม้ว่าต่างฝ่ายจะมีคะแนนที่เป็นฐานแต่ละพรรคอยู่แล้วก็จริง แต่ปรากฏการณ์ที่จะสร้างความนิยมที่ไม่เท่ากันของพรรคการเมืองและแต่ละพรรคก็ส่งผู้สมัครลงแข่งในเขตหรือพื้นที่ทับซ้อนกันด้วย การประเมินว่าใครจะชนะจึงค่อนข้างประเมินยาก แต่สิ่งที่สำคัญคือปรากฏการณ์ “หัวคะแนนธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นตัวที่จะชี้ว่าพรรคไหนจะเข้าวิน มีโอกาสได้อำนาจจากประชาชน เดินเข้าทำเนียบไปบริหารประเทศ
สถานการณ์เลือกตั้งปี’66 นี้ ต้องจับตาทิศทางการลงคะแนนของประชาชนว่าจะเลือกแบบยุทธศาสตร์หรือเลือกแบบคะแนนธรรมชาติของประชาชนคงต้องดูหน้าคูหาที่การตัดสินใจกาบัตรหย่อนหีบเลือกตั้งของประชาน1-2 วัน นับแต่นี้ เป็นสิ่งที่ต้องลุ้นระทึกวินาทีต่อวินาที ทิศทางการเมืองไทยจะมีอะไรทำให้ผลการเลือกตั้งพลิกผันไปได้หรือไม่
1-2 วันสุดท้ายนับจากนี้ผลต่อความรู้สึกและอารมณ์สังคม จะส่งผลต่อผู้ลงคะแนนของฝ่ายที่เรียกว่าประชาธิปไตย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือฝ่ายอะไรก็ตามวาทกรรมก่อนเผด็จศึกหัวใจประชาชนที่พุ่งไปที่อารมณ์ของผู้ลงคะแนนจะหันเหการตัดสินใจให้ตัดสินใจเทคะแนนให้ แบบเลือกเพราะเห็นใจ เลือกเพราะสงสาร ในบริบทปู่ขอกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน กับไอดอลที่วาทกรรมถือหุ้นสื่อเป็นชนักปักอยู่คาอก
สึนามิการเมืองไทยจะเกิดขึ้นไหม ผลลัพธ์ที่เป็นฉากทัศน์ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองตั้งเป้าไว้จะเป็นไปได้หรือไม่ ความฝันที่สูงสุด คงต้องลุ้นกันก่อนเฮือกสุดท้าย กว่าจะเข้าเส้นชัย ที่พูดกันว่าชะตาประเทศไทยจะโอนไปฝั่งไหน ความนิยมการเลือกตั้งจะแอนไปทางอนุรักษ์นิยมหรือฝั่งประชาธิปไตย ใครจะได้ไปต่อ หรือใครจะได้เริ่มใหม่
ที่น่าจับตาคือเคมเปญ“ความหวัง และการเปลี่ยน” จะยังคงเป็นมนต์ขลังดั้งเดิมที่ได้ผลดีทั้งในแง่นโยบายสาธารณะ และนโยบายยิบย่อยของแต่ละพรรคการเมืองหรือไม่ แม้ว่าจะเห็นภาพเหล่านี้ได้จากบรรดานโยบายที่ใช้กันมากในการเลือกตั้งใหญ่ในปีนี้2566อย่างเคมเปญเช่น การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคตกาพรรคนี้ ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ประเทศไทยต้องไปต่อทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ หมดเวลาอยู่กับอดีต ได้เวลาสู่อนาคต มีลุงไม่มีเรา และมีเราไม่มีลุงคิดใหญ่ ทำใหญ่ เพื่อคนไทยเรื่องเคมเปญหาเสียงเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องที่ว่าพรรคไหนจะได้ฉันทามติจากประชาชนให้ไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศนั้นสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางไหน ต้องดูกันตอนค่ำๆ หลังปิดโหวตเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม นี้
คงต้องติดตามและให้โอกาส ใครคือคนที่ได้รับฉันทามติจากประชาชน ให้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 30
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง » คอลัมน์
คอลัมน์ล่าสุด ![]()
...คำถามประจำวันเด็ก...
ใต้ถุนสภา- ปรากฏการณ์ "ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน" 21:25 น.
- “หนี้นอกระบบ” 05:33 น.



