เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568  นายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย เผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของแพงเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งเนื้อหมู ไข่ ผัก และเครื่องปรุงอาหาร ล้วนปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ข้าวแกงบางแห่งขยับราคาจาก 30 บาทเป็น 35-45 บาท ทำให้ภาระค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ราคาหมูหน้าฟาร์มเดือนเมษายน 2568 พุ่งแตะ 81-83 บาทต่อกิโลกรัม สูงสุดในรอบ 2 ปี โดยมีสาเหตุจากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล การระบาดของโรคในหมู และต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้น ภาระจึงตกกับผู้บริโภคโดยตรง สินค้าอื่นอย่างไข่ไก่ก็ปรับขึ้นถึง 66% ในรอบ 5 ปี ขณะเดียวกัน ผงชูรส น้ำหวาน เครื่องดื่ม และน้ำมันก็ทยอยขยับราคา

ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะต้นทุนค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และน้ำมันดีเซล ที่กระทบต้นทุนสินค้าในทุกระดับ ห้างร้านบางแห่งต้องปรับราคาขึ้นตาม ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง แม้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน แต่รายได้กลับไม่พอรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ในภาคการเกษตร แม้หมูจะมีราคาดีขึ้น แต่ภาพรวมกลับตรงกันข้าม รายได้เกษตรกรในเดือนมกราคมหดตัวลงถึง 92% ซึ่งหนักที่สุดในรอบปี โดยเฉพาะภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบมากถึง 98.4% จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เช่น ลองกอง อ้อย มันสำปะหลัง และโคเนื้อ สะท้อนความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวไม่เท่าเทียมกัน

นายชัชวาลย้ำว่า รัฐบาลต้องออกมาตรการเร่งด่วน ทั้งควบคุมราคาสินค้าจำเป็น ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ลดต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่ง รวมถึงใช้นโยบายภาษีอย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และไม่ผลักภาระให้ประชาชนจนเกินไป พร้อมกันนี้ควรมีนโยบายระยะยาวที่เน้นการพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมสินค้าไทย และสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน

“วันนี้ประชาชนไม่ใช่แค่ขาดรายได้ แต่กำลังขาดโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง รัฐต้องลงมาจัดการอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้ของแพงกลายเป็นเรื่องปกติ” นายชัชวาล กล่าว.