วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 15:04 น.

การเมือง

ศบ.ทก.ไทยประณามกัมพูชาไม่จริงใจ เลี่ยงเจรจา เสริมกำลัง-อาวุธหนัก  ใช้โล่มนุษย์ป้องกันตัว

วันอาทิตย์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.19 น.

ศบ.ทก.ไทยประณามกัมพูชาไม่จริงใจ เลี่ยงเจรจา เสริมกำลัง-อาวุธหนัก  ใช้โล่มนุษย์ป้องกันตัว ขณะ กต.ไทยย้ำจุดยืนในวง UNSC กัมพูชาใช้โล่มนุษย์ โจมตีพลเรือนต่อเนื่องไร้มนุษยธรรม จ่อยื่น ICRC 

เมื่อวันที่ 27  กรกฎาคม 2568  พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) พร้อมด้วย นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมแถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)

พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า จากกาาที่บางประเทศเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง ฝ่ายไทยเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าว แต่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจ และเข้าร่วมหารือในขั้นตอนรายละเอียดต่างๆด้วยรวมทั้งหยุดยิงเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังคงส่งกำลังทหารปะทะพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่เขาพระวิหาร ในเวลา 02.10 น. ประกอบด้วยการยิงจรวด BM-21 เมื่อเวลา 06.10 น. เข้ามายังฝ่ายไทยและตกมาที่บริเวณบ้านตาโส ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายพลเรือนทำให้บ้านของพลเรือนเสียหาย
 
และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เวลา 15.30 น. กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา พุ่งเป้าใส่โรงพยาบาลในพื้นที่ ได้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลศรีสะเกษ โรงพยาบาลบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งใช้ประชาชนบนโล่กำบังในการตั้งอาวุธยิง ซึ่งเป็นการใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ อย่างไร้หลักมนุษยธรรมในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ทั้งหมดนี้เป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน

นอกจากนั้นขอประณามถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิเสธและเลื่อนการพูดคุยเจรจาหารือในเวทีทวิภาคีหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น JBC GBC หรือ RBC เพราะไทยมองว่าการประชุมต่างๆเหล่านี้ สามารถนำประเด็นดังกล่าวที่เป็นปัญหาข้อขัดแย้งนำมาพูดคุยหารือได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมาสังเกตได้ว่า ฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังทหาร มีการเตรียมที่มั่นที่ดัดแปลงในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง มีการวางทุ่นระเบิดสังหารทุนคน ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออสตาวา และแสดงท่าทียั่วยุ ส่งเสริมการปลุกระดมมวลชนชาวกัมพูชาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้าสู่พื้นที่ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดน โดยใช้กระแสชาตินิยมปลุกปั่น หวังยกระดับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนการแสดงออกท่าทีในการใช้กำลังทหารผ่านการโพสต์และช่องทางสังคมออนไลน์ต่างๆ การบิดเบือนข้อเท็จจริง และกล่าวหาประเทศไทยอย่างไร้หลักฐานที่เป็นชนวนของความไม่พอใจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันในเวลาต่อมา

ส่วนสถานการณ์ที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชายังคงมีการดำเนินการใช้อาวุธหนักไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่ปืนใหญ่วิถีโค้ง จรวดหลายลำกล้องและมีข่าวสารความเคลื่อนไหวอาจมีการใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพ เช่น BM-21 PHL-03 RM-70 เป็นต้น

สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มเติม ณ เวลา 09.00 น. เป็นต้นมามีผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนทั้งหมด 13 ราย บาดเจ็บสาหัสเพิ่ม1 รายเป็นจำนวน 11 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย รวมยอดทั้งหมด 49 ราย จะสังเกตได้ว่าแม้ตัวเลขไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ต้องชื่นชมหน่วยงานในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน ถือว่าประชาชนอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่

และสุดท้ายขอเน้นย้ำปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาล้วนๆไม่ใช่ปัญหาจากพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองประเทศ จึงขอวิงวอนพี่น้องประชาชนชาวไทยหลีกเลี่ยงการแสดงความรุนแรงด้วยการใช้ถ้อยคำหรือใช้กำลังการดูหมิ่นเหยียดหยามพี่น้องกัมพูชาที่เข้ามาพำนัก หรือทำงานในไทยอย่างสุจริต อย่างเช่นผู้ใช้แรงงาน นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ประกอบการทุกสาขาวิชาชีพ เว้นในกรณีที่ชาวกัมพูชาแสดงกิริยาก้าวร้าวก็ขอให้ใช้สติและเหตุผลในการพูดจาตักเตือน โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( United Nations Security Council: UNSC) แบบปิดเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมาตามเวลานิวยอร์ก ได้มีการหารือโดยมี 15 รัฐสมาชิก ซึ่งมีไทยและกัมพูชาคู่กรณีเข้าร่วมซึ่งโอกาสนี้ฝ่ายไทยได้มีการย้ำจุดยืนต่อชาวโลกด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มและเปิดฉากยิงรวมถึงมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทยโดยมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากรวมถึงต้องอพยพหลักแสนคนซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

สำหรับการหารือ ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( United Nations Security Council: UNSC) มีการกล่าวถึงหลักการกว้างๆ ในทิศทางเดียวกันคือเรียกร้องให้ทั้งฝ่ายลดความตึงเครียด โดยการยุติการยิงและใช้หลักการทางการฑูต รวมถึงสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขความขัดแย้งตามหลักการกฏบัตรอาเซียน

และยังมีการ ย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยในการหารือครั้งนี้ UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารผลลัพธ์ใดๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะแสดงว่ารัฐสมาชิกต่างๆก็มีความเข้าใจและจุดยืนของฝ่ายไทย

ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์นำการกระทำอันร้ายแรงของกัมพูชาที่ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาลและข้อ 18 อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่4 เกี่ยวกับภารกิจเรื่องการคุ้มครองโรงพยาบาลฝ่ายพลเรือน

โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือถึงคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อแสดงถึงการละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ (ICRC) อย่างร้ายแรง รวมถึงจะมีการพบสำนักงาน ICRC ที่ประจำประเทศไทยในวันอังคารที่จะถึงนี้(29 ก.ค. 68) เพื่อหาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นนี้

อย่างไรก็ตามย้ำว่าประเทศไทยต้องการสื่อสารไปยังประชาคมพบว่าการกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาเป็นสิ่งที่ต่างประเทศต้องร่วมกันประณาม เพราะยังคงมีการโจมตีสถานที่ต่างๆของไทยอยู่ ดังนั้น ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงถึงความจริงใจถึงการหยุดยิงก่อน โดยเฉพาะการที่ไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ยังต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อต่างประเทศกรณีกัมพูชาใช้อาวุธร้ายแรงโจมตีบ้านเรือนประชาชนที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อเช้านี้ และ ตอบโต้กรณีที่ไทยกล่าวอ้างว่าไทยเป็นผู้เริ่มก่อน
 

หน้าแรก » การเมือง