วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 14:39 น.

การเมือง

 วิเคราะห์แนวทางการสร้างกำแพงถาวรสกัดการรุกล้ำอย่างเด็ดขาดตามแนวชายแดนกัมพูชา

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 15.11 น.

สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงปี 2568 สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยในการแสวงหามาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ หนึ่งในแนวทางที่ถูกเสนอโดยพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

คือการสร้างกำแพงถาวรตามแนวชายแดนในจุดเสี่ยง เพื่อสกัดกั้นการรุกล้ำซ้ำซากจากประเทศเพื่อนบ้าน บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์แนวคิดดังกล่าวในเชิงยุทธศาสตร์ ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ด้านความมั่นคง และผลกระทบทางสังคม-เศรษฐกิจ โดยใช้กรณีศึกษาจากแถลงการณ์พรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นกรอบข้อมูลประกอบการศึกษา

1. บทนำ
ความมั่นคงบริเวณชายแดนเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน แนวชายแดนไทย–กัมพูชามีความซับซ้อนทั้งในมิติทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่เพิ่งเจรจากับฝ่ายไทย ส่งผลให้เกิดข้อเรียกร้องจากภาคการเมืองไทยในการเพิ่มระดับมาตรการป้องกัน โดยเฉพาะการเสนอให้ “สร้างกำแพงถาวรในจุดเสี่ยงสูง” ถือเป็นมาตรการที่มีนัยสำคัญด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศ

2. กรอบแนวคิดและบริบทปัจจุบัน
พรรคพลังประชารัฐได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า “ทุกตารางนิ้วของแผ่นดินไทยต้องได้รับการปกป้อง” และเสนอ 4 มาตรการสำคัญต่อรัฐบาล ได้แก่

ตอบโต้ทางการทูตอย่างเฉียบขาด

ให้นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสภา

จัดตั้งคณะกรรมการวิสามัญตรวจสอบ

สร้างกำแพงคอนกรีตถาวรในจุดเสี่ยง

ในประเด็นสุดท้าย พล.อ.ประวิตรย้ำว่ากำแพงเป็นเครื่องมือ “ป้องกันการลุกล้ำอย่างเป็นรูปธรรม” ซึ่งสื่อถึงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างถาวรเพื่อยับยั้งเหตุการณ์รุนแรงซ้ำซากที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยมาตรการทางการทูตเพียงลำพัง

3. การวิเคราะห์แนวทางการสร้างกำแพงถาวร
3.1 มิติด้านความมั่นคง
การสร้างกำแพงชายแดนเป็นมาตรการเชิงรับที่แปลงรูปธรรมการปกป้องพื้นที่ให้เห็นได้ชัดเจน การก่อสร้างในจุดเสี่ยงสูงสามารถลดการลักลอบเข้ามาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่ชายแดนไม่มีสิ่งขวางกั้นทางกายภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงการกำหนดจุดก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวเขตแดนที่ชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทซ้ำซ้อน

3.2 มิติด้านกฎหมายระหว่างประเทศ
ตามอนุสัญญาว่าด้วยการไม่ละเมิดอธิปไตยของรัฐอื่น (UN Charter Article 2) รัฐมีสิทธิเต็มที่ในการป้องกันตนเองในพื้นที่ของตนเอง การสร้างกำแพงในเขตแดนของตนถือเป็นสิทธิชอบธรรม อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงหลักการไม่สร้างความตึงเครียดเพิ่มเติมต่อเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่มีการตกลงแนวเขตที่ชัดเจน เช่น พื้นที่ทับซ้อนบางส่วนตามแนวภูเขาดงรัก

3.3 มิติด้านสังคมและเศรษฐกิจ
แม้กำแพงจะเพิ่มระดับความปลอดภัย แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนชายแดนที่มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เช่น การค้า การเกษตร และความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรม การวางแผนต้องมีกลไกเยียวยาและชดเชยผลกระทบ พร้อมทั้งจัดระบบตรวจคนเข้าเมืองอย่างมีประสิทธิภาพในจุดผ่านแดนที่อนุญาต

3.4 บทเรียนจากนานาประเทศ
การสร้างกำแพงชายแดนเคยถูกใช้ในหลายกรณี เช่น สหรัฐฯ–เม็กซิโก หรือ อินเดีย–บังกลาเทศ พบว่าแม้สามารถลดการลักลอบเข้าเมือง แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จหากขาดความร่วมมือระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน และการพัฒนาพื้นที่แนวชายแดนร่วมกัน

4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
การออกแบบกำแพงต้องอิงหลักกฎหมายสากล และยืนยันว่าอยู่ในเขตแดนไทยโดยไม่มีข้อพิพาท

กำหนดโซน “ความปลอดภัยสูง” พร้อมติดตั้งระบบตรวจจับอัตโนมัติ เพื่อลดภาระของเจ้าหน้าที่

เสริมการเจรจาควบคู่กับมาตรการเชิงสัญลักษณ์ เช่น แถลงการณ์ต่อสภาและสื่อมวลชนระหว่างประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความชอบธรรม

ลงทุนในกลไกเศรษฐกิจชายแดนอย่างสมดุล เช่น โครงการร่วมไทย-กัมพูชาในจุดที่ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อไม่ให้กำแพงกลายเป็นเครื่องตัดขาดระหว่างประชาชน

5. สรุป
แนวทางการสร้างกำแพงถาวรในจุดเสี่ยงของชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นแนวทางหนึ่งที่มีน้ำหนักในทางยุทธศาสตร์เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การละเมิดซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย และการพิจารณาผลกระทบต่อประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้การปกป้องอธิปไตยของไทยไม่เพียงเป็นรูปธรรม แต่ยังยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย


 

หน้าแรก » การเมือง