วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 14:40 น.

การเมือง

บทบาทสื่อไทย–กัมพูชาบนพื้นที่โซเชียลกลางสงครามชายแดน

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 16.03 น.

แม้สถานการณ์ปะทะด้วยอาวุธระหว่างไทย–กัมพูชาบริเวณชายแดนจะสงบลงภายหลังการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 แต่สิ่งที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นคือ “สงครามข่าวสาร” โดยเฉพาะในพื้นที่โซเชียลมีเดีย

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์เปรียบเทียบบทบาทของสื่อไทยและกัมพูชาในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในช่วงภาวะวิกฤติชายแดน ตลอดจนกลยุทธ์ทางการสื่อสาร การตั้งรับหรือรุก และผลกระทบต่อความเข้าใจของประชาชนทั้งสองประเทศ

บทนำ
ในยุคที่ “ข้อมูลคืออาวุธ” พื้นที่โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นสมรภูมิอีกมิติหนึ่งของสงครามสมัยใหม่ นอกเหนือจากสนามรบจริง บทบาทของสื่อสารมวลชนทั้งในระดับสถาบันและปัจเจกชนจึงมีอิทธิพลสูงต่อการรับรู้ของสาธารณชน โดยเฉพาะในกรณีความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเกิดการใช้ “กลยุทธ์ข้อมูล” อย่างเข้มข้นจากทั้งสองฝ่ายหลังข้อตกลงหยุดยิง

การสื่อสารของกัมพูชา: เชิงรุก และวางแผนล่วงหน้า
กัมพูชามีการใช้โซเชียลมีเดียเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากบุคคลสำคัญทางการเมือง เช่น สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังมีบทบาททางการสื่อสารอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างสำคัญคือเวลา 05.04 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกำหนดเส้นตายหยุดยิง ฮุน เซนได้โพสต์ข้อความสรรเสริญอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันข้อตกลง พร้อมแนบภาพถ่ายร่วมกันในอดีต ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่มีทั้งมิติของการเมืองระหว่างประเทศและการสร้างความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน

นอกจากนี้ สื่อกัมพูชายังดำเนินกลยุทธ์แบบ “การสร้างกรอบการรับรู้” (framing) ผ่านถ่ายทอดสด การแถลงข่าว และการให้สัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เช่น การแถลงของโฆษกกระทรวงกลาโหม พลโทหญิง มาลี โสเจียตา ที่ยืนยันว่าไม่มีเสียงปืนหลังเส้นตาย เพื่อยืนยันภาพลักษณ์ของ “การปฏิบัติตามข้อตกลง” อย่างสงบ

การสื่อสารของไทย: ตั้งรับและเน้นข้อเท็จจริง
ในทางกลับกัน ฝ่ายไทยมีแนวโน้มดำเนินกลยุทธ์สื่อสารแบบตั้งรับ โดยเน้นการชี้แจงข้อเท็จจริง การยืนยันข้อมูลจากหน่วยงานทางการ เช่น กองทัพ หรือกระทรวงกลาโหม โดยไม่มีการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์จากผู้นำทางการเมืองเท่าที่ควร

ยกตัวอย่างเช่น ในเวลา 10.56 น. กองทัพไทยได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อมูลของฝั่งกัมพูชา พร้อมระบุชัดว่ามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในหลายจุด พร้อมแสดงหลักฐานการใช้อาวุธจากฝ่ายกัมพูชาหลังเวลา 00.00 น. ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวทางการสื่อสารที่ตั้งอยู่บนฐานของหลักฐานและข้อเท็จจริง แต่ขาดพลังทางการเมืองและอารมณ์ร่วมที่เข้าถึงจิตวิญญาณของประชาชน

การต่อสู้เพื่อพื้นที่ทางการรับรู้ (Battle for Narrative Space)
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ฝ่ายกัมพูชาสามารถสร้าง “ความต่อเนื่องทางข้อมูล” ได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระดับผู้นำ การใช้บุคคลที่มีบารมีสูงในอดีต การสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลระดับโลก ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลให้สอดคล้องกันจากหลายช่องทาง

ในขณะที่ไทยกลับให้ความสำคัญกับ “ความถูกต้อง” แต่กลับขาด “ความเชื่อมโยง” ระหว่างข้อมูลกับความรู้สึกของประชาชน เช่น การสื่อสารจากประชาชนชายแดนที่บอกว่ายังได้ยินเสียงปืนแต่ไม่มีการตอบกลับอย่างทันท่วงทีจากเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง 00.40 น. กองทัพไทยจึงยืนยันว่าทุกพื้นที่สงบลง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
สร้างทีมสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้รัฐบาลที่สามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และตอบโต้ข่าวปลอมอย่างเป็นระบบ

พัฒนาเครือข่ายสื่อพลเมืองชายแดน เพื่อให้มีระบบการแจ้งเหตุที่ไวและมีความน่าเชื่อถือ

ลงทุนในการสื่อสารแบบมี “เรื่องเล่า” (narrative communication) เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงมีน้ำหนักมากขึ้นในระดับประชาชนทั่วไป

เสริมบทบาทผู้นำทางการเมืองและความมั่นคงในการสื่อสารโดยตรง แทนการพึ่งพาเฉพาะแถลงการณ์ทางการ

ดังนั้น แม้ความขัดแย้งทางกายภาพจะสิ้นสุดลงด้วยคำว่า “หยุดยิง” แต่สงครามบนพื้นที่ข่าวสารยังคงดำเนินอยู่ และอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ อธิปไตย และการรับรู้ของประชาชนในระยะยาว การปรับกลยุทธ์สื่อสารจาก “ตั้งรับ” ไปสู่ “เชิงรุก” อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐไทยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้การสงครามข้อมูลกลายเป็นพื้นที่ที่ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง 
 

หน้าแรก » การเมือง