วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 06:53 น.

กทม-สาธารณสุข

“สมศักดิ์” เอาจริงลดโรค NCDs สอน อสม.นับคาร์บ ก่อนออกไปให้ความรู้ประชาชน เชื่อมั่นทำคนป่วยลดลง ประหยัดงบฯ นำส่วนต่างเข้ากองทุน อสม.

วันจันทร์ ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567, 14.23 น.

“สมศักดิ์” เอาจริงลดโรค NCDs สอน อสม.นับคาร์บ ก่อนออกไปให้ความรู้ประชาชน เชื่อมั่นทำคนป่วยลดลง ประหยัดงบฯ นำส่วนต่างเข้ากองทุน อสม.  สร้างกำลังใจให้คนทำงาน ติงแสดงความเห็น “องุ่นไชน์มัสแคท” ต้องระวังอย่าให้เกิดความเสียหาย 

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เป็นประธานเปิดงานเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน เพื่อต่อสู้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายโฆสิต สุวินิจจิต นายเอกฤทธิ์ ศาตะมาน ที่ปรึกษา นายสรวิศ ธานีโต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงฯ และอสม.เข้าร่วม 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมจะเปิดโครงการลดคนป่วยจาก NCDs ดังนั้น จะเห็นว่า บุคลากรสำคัญที่จะลดคนป่วยหรือทำให้คนไม่ป่วยไม่น่าเชื่อว่าพระเอกนางเอกจะเป็น อสม. แต่หมอพยาบาลก็ยังเป็นหลักอยู่ เพียงว่างานนี้หากเราจะสร้างหนัง พระเอกนางเอกคือ อสม. ปัจจุบันมีกว่า 1 ล้านคน  ซึ่งโดยเฉลี่ย อสม. 1 คนดูแลประชากรราว 50 คน ดังนั้น อสม.1,080,000 คนคูณด้วย 50 ก็ประมาณ 50 กว่าล้านคน ถ้า 50 กว่าล้านคนเข้าใจเรื่องนี้จะลดโรคNCDs ได้  เมื่อ อสม. 1 ล้านกว่าคนเข้าใจก็จะนำไปสู่ความรู้ให้กับประชากรกว่า 50 ล้านคน ดังนั้นหากคิดเป็นค่าทำประชาสัมพันธ์คน 100 บาทกับ 50 ล้านคนก็เท่ากับค่าทำประชาสัมพันธ์ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินตรงนี้หากทำให้คนไม่ป่วยถือว่าคุ้มค่ามหาศาลแค่ไหน ปัจจุบันสถิติหมอ 1 คนดูแลประชากร 950 คน เยอะเกินไปแล้วจากสถิติที่ควรอยู่ 1 ต่อ 650 คน คนเป็นเบาหวานเพิ่มปีละ 300,000 คน  ต้องหยุดให้ได้ ความดัน 14,000,000 คน โรคทุกระย 1 ล้านคน  มะเร็ง 4.4 แสนคน รายใหม่ 1.4 แสนคนต่อวัน ตายปีละ 83,000 คน  ซึ่งมะเร็งรวมถึงปัญหาที่เกิดจากบุหรี่ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้  การที่อสม.มาช่วยตรงนี้ไม่ใช่ว่าจะลดคนตายได้ทันทีแต่จะลดผู้ป่วยรายใหม่ได้เนื่องจากรายเดิมเค้าก็มีพฤติกรรมมาก่อนแล้ว 

“เราต้องหยุดคนป่วยให้ได้ด้วยการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและเงินที่ลดได้จากการลดผู้ป่วย ก็ควรนำกลับมาให้ อสม. ซึ่งขณะนี้กำลังผลักดันร่าง พ.ร.บ.อสม. ยังไม่เข้า ครม.เพราะติดอยู่ที่กรมบัญชีกลาง”นายสมศักดิ์กล่าว 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แนวทางหนึ่งที่อยากให้อสม.ไปนำเสนอให้ประชาชนที่อยู่ในการดูแล คือ การคำนวณอัตราการเผาผลาญของร่างกาย(หรือการใช้พลังงาน)ขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันที่เป็นของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา  ซึ่งเป็นการคำนวณปริมาณการรับประทานคาร์โบไฮเดรต หรือข้าวของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน โดยคำนวณจากอายุ ส่วนสูง น้ำหนัก  กิจกรรมทางกายในแต่ละวัน หรือเรียกว่า “กินคาร์บ” จะคำนวณออกมาได้เป็นปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อวันที่เหมาะสมของแต่ละคน กำหนดเป็นทัพพีมาตรฐานที่ 15 กรัมต่อทัพพีหน่วยจะออกมาเป็น “คาร์บ” เช่น หากคำนวณได้ที่ 10 คาร์บหรือ 10ทัพพีมาตรฐานที่ 15 กรัม ก็ควรบริโภคคาร์โบไฮเดรคต่อวันไม่เกิน 10 คาร์บ เป็นต้น ซึ่งตนทดลองทำแล้วน้ำหนักลดลง 3 กิโลกรัม ภายในเวลา 2 เดือน อสม.จะต้องนำไปสื่อสาร กินเป็นไม่ป่วย ไม่ใช่อด กินได้เต็มที่ เพียงแต่กินให้อยู่ในปริมาณที่คำนวณ และจะทำเป็นโปรแกรมแทนค่าต่างๆในโทรศัพท์มือถือเพื่อง่ายต่อการใช้งานด้วย ส่วนคนที่ไม่ป่วย ไม่กำลังจะป่วย  ไม่ได้อ้วน ก็กินไปเถอะ แต่คนที่จะป่วยแล้วต้องมาเข้าโปรแกรมนี้

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.อสม. ขณะนี้ติดอยู่ที่กรมบัญชีกลาง เนื่องจากมีประเด็นเพิ่มเรื่องที่มาของแหล่งเงินทุน ที่จะตอบแทนลงไปที่ อสม. เพราะเมื่อไม่ป่วยก็ไม่ต้องรักษาไม่ต้องใช้เงิน เงินที่เหลือก็สามารถเอาไปให้กับ อสม.  เบื้องต้น คือจะนำไปใส่ไว้ในกองทุนที่เขียนไว้ในกฎหมายแต่จะบริหารอย่างไรขึ้นกับในอนาคต ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ต้องเอ่ยขึ้นเพราะว่าตอนนี้ยังมีฉบับเดียวที่เสนอเข้าสู่สภา เพื่อรอร่างของกระทรวงขณะนี้ผมได้เข้าไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจะประชุมเรื่องนี้ในช่วงสัปดาห์แรกหรือสัปดาห์ที่สองของเดือนหน้า จึงขอให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้ตามให้ด้วย เพราะผู้ใหญ่ได้คุยกันในระดับหนึ่งแล้ว 

ทั้งนี้ระหว่างการให้นโยบาย นายสมศักดิ์ ยังได้แจกกระดาษซึ่งเป็นสูตรการคำนวณนับคาร์บ ให้กับ อสม.ได้ทดลองฝึกเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ก่อนที่จะออกไปรณรงค์ให้ประชาชน 

นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สำหรับความคืบหน้า ร่างพ.ร.บ.อสม.คาดว่าอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ของเดือน พ.ย. กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะส่งกลับและนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้ จากนั้นอีกประมาณ 1 ปี อาจจะแล้วเสร็จขั้นตอนหลังผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร 

เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้บริหารโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ออกมาระบุว่า จะไม่รับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ถูกส่งต่อรักษามายังโรงพยาบาลฯ เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังค้างจ่ายชดเชยค่าบริการจากระบบส่งต่อ ซึ่งอาจกระทบผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่รักษาตัวอยู่กับโรงพยาบาลนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการ ภาครัฐมีงบประมาณ แต่การจ่ายชดเชยอาจจะช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งมองว่าประเด็นการจ่ายช้าหรือเร็วมีความสำคัญที่ต้องปรับให้เกิดความสมดุลกับการรักษาพยาบาล ไม่ใช่ว่า เมื่อรักษาไปแล้ว ต้องรอนานกว่าจะเบิกชดเชยค่าบริการได้ เราก็ต้องปรับเพื่อให้เบิกจ่ายเงินทองต่างๆ ได้ทันท่วงที เพราะหากโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องก็อาจมีผลกระทบต่อระบบ หากเราไม่ไปช่วยก็จะเป็นปัญหาอย่างอื่นตามมา ทั้งนี้ ได้พูดคุยกับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ถึงประเด็นโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะแล้ว โดยให้ไปอธิบายและปรับความเข้าใจระหว่างกัน อย่าให้เกิดความไม่เข้าใจ และเกิดเป็นการโต้เถียงกัน ซึ่งจะไม่ดี โดยคาดว่ามีการเข้าพบและพูดคุยกันภายใน 1 - 2 วันนี้

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องการเบิกจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OP) ก็เช่นกัน ก็ขอให้ปรับระบบทำให้เร็วมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับหน่วยบริการ และโรงพยาบาล ซึ่งในการประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งต่อไปในวันที่ 4 พ.ย. 2567 นี้ก็จะมีการกำชับเรื่องนี้อีกครั้ง ส่วนผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่กับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะอยู่ก็อย่ากังวล จะเร่งจัดการแก้ปัญหาให้ ส่วนทางโรงพยาบาลนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลมีเงินจ่าย จุดใดที่ช้าอยู่ก็ต้องปรับให้เร็วขึ้น แต่ปรับแล้วยังช้าอยู่อีก ปัญหานี้ก็จะเป็นตัวชี้วัดของคนทำงานด้วยเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ต้องปรับให้เร็ว ไม่ให้เกิดความเสียหาย" นายสมศักดิ์ ระบุ

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายฯ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการ และหน่วยบริการนวัตกรรมที่เข้าร่วมแล้ว เหลือเพียงแต่รอการประกาศจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการเพื่อให้เริ่มดำเนินการ

เมื่อถามย้ำว่า ทุกจังหวัดทั่วประเทศจะได้ใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ได้ทันในปี 2567 นี้ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวตอบว่า ใช่ ยืนยันว่าทุกจังหวัดจะได้ใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ได้ครบทุกแห่งภายในปี 2567 แน่นอน เพราะเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่สะดวกมากยิ่งขึ้น

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบสารตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท ว่า การแสดงความคิดเห็นเรื่องที่เสียหายต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจต้องระมัดระวัง สารตกค้างถ้าไม่มากเกินไปกว่าที่กำหนดก็ควรระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็น อย.ก็ต้องดูแลไม่ให้ประชาชนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ 
 
 

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข