วันอาทิตย์ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568 03:03 น.

กทม-สาธารณสุข

ภัยเงียบใกล้ตัว!!! “สโตรกสมอง” คร่าชีวิตคนไทยทุก 10 นาที รู้ทัน BEFAST ลดพิการ ลดตาย

วันพฤหัสบดี ที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2568, 16.01 น.

ภัยเงียบใกล้ตัว!!! “สโตรกสมอง” คร่าชีวิตคนไทยทุก 10 นาที รู้ทัน BEFAST ลดพิการ ลดตาย

 

“โรคหลอดเลือดสมอง” หรือ Stroke กำลังทวีความรุนแรงอย่างน่าตกใจ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 349,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 50,000 รายต่อปี ขณะที่ผู้รอดชีวิตมากกว่า 60% ต้องเผชิญกับความพิการ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย

สถิติจากองค์การอัมพาตโลก (World Stroke Organization) ในปี 2021 พบว่ามีผู้ป่วยสโตรกใหม่สูงถึง 11.9 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 7.3 ล้านราย และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องทนทุกข์จากภาวะแทรกซ้อนและความพิการมากกว่า 93.8 ล้านราย โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก และเป็นสาเหตุของความพิการระยะยาวอันดับ 3 โดยคาดว่า ภายในปี 2050 จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นกว่า 50% หรือมากถึง 9.7 ล้านรายต่อปี

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ ผู้ชำนาญการด้านประสาทวิทยา โรคพาร์กินสัน และโรคทางการเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า “โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ทำให้เนื้อเยื่อสมองบางส่วนทำงานผิดปกติ อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและไม่ทันตั้งตัว”

โรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1.หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) – เกิดจากหลอดเลือดตีบจากไขมันหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดและเนื้อเยื่อตาย

2.หลอดเลือดสมองแตกหรือฉีกขาด (Hemorrhagic Stroke) – เกิดจากความเปราะบางของหลอดเลือดในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง

นอกจากนี้ยังมี ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) ซึ่งมีอาการคล้ายสโตรก แต่หายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ เพราะประมาณหนึ่งในสามของผู้ที่มี TIA อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดสมองภายใน 7 วัน 

นพ.สิทธิ ให้ข้อมูลต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไต ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้สารเสพติด ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ประวัติครอบครัว และการเคยมีโรคหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น

เพื่อช่วยลดความสูญเสีย แพทย์แนะนำให้สังเกตอาการเบื้องต้นตามหลัก BEFAST

-B: balance เดินทรงตัวไม่ดี เวียนศีรษะ

-E : eye ตามองไม่เห็น หรือเห็นภาพซ้อน

-F (Face): ใบหน้าเบี้ยว ปากตก ยิ้มไม่เท่ากัน

-A (Arms): แขนขาอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น

-S (Speech): พูดไม่ชัด พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ

-T (Time): เวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

สำหรับการรักษา แบ่งออกเป็น

1.การรักษาช่วงเฉียบพลับ เช่น การให้ยาสลายลิ่มเลือด(rtPA) การเกี่ยวลากลิ่มเลือดจากหลอดเลือดสมอง(Mechanical thrombectomy)

2.การป้องกันการเป็นซ้ำ ได้แก่การให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือละลายลิ่มเลือด การผ่าตัดไขมันออกจากหลอดเลือดใหญ่ที่คอหากมีการตีบหรืออุดตัน (carotid endarterectomy)

3.การฟื้นฟู ได้แก่ การกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการฝึกพูดและการสื่อสาร

นพ.สิทธิ กล่าวปิดท้ายว่า “สำหรับการป้องกัน “โรคหลอดเลือดสมอง” สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ งดสูบบุหรี่ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมโรคประจำตัว และจัดการความเครียด พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ การตรวจสุขภาพประจำปียังช่วยเฝ้าระวังและจัดการปัจจัยเสี่ยงได้ทันเวลา และหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการสโตรก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการรักษาอย่างรวดเร็วภายใน 4.5 ชั่วโมง จะช่วยลดความรุนแรงและเพิ่มโอกาสฟื้นตัวสูงสุด”

“โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยเงียบที่อาจพรากชีวิตหรือทิ้งความพิการไว้ตลอดกาล การรู้เท่าทันอาการและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว พร้อมปรับพฤติกรรมสุขภาพและควบคุมปัจจัยเสี่ยง จะช่วยปกป้องชีวิตของเราและคนที่เรารัก พร้อมรักษาคุณภาพชีวิตของสังคมอย่างยั่งยืน”

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข