วันศุกร์ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568 05:52 น.

กทม-สาธารณสุข

โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล เสริมเกราะให้ลูกน้อย ทางเลือกใหม่ ป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก

วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568, 17.18 น.

โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล เสริมเกราะให้ลูกน้อย ทางเลือกใหม่ ป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก

 

 

โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (ศรีนครินทร์) จัดงาน “ทางเลือกใหม่ ป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก” โดยมี ศ. นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ (ซ้ายสุด) กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คุณออย–อฏิพรณ์ ตันจรารักษ์ (ที่ 2 จากซ้าย) คุณบีม–กวี ตันจรารักษ์ (ที่ 3 จากซ้าย) พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ (ที่ 3 จากขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล พญ.วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล (ที่ 2 จากขวา) กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล และร่วมด้วยน้องแฝดซุปตาร์ น้องธีร์–น้องพีร์ และคู่แฝดสาว น้องอัยวา–น้องอัญญา มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแบ่งปันความรู้ในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จัดงาน ทางเลือกใหม่ป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก “ไข้หวัดใหญ่ ป้องกันง่าย ไม่งอแง” รวมถึงชวนคนไทยดูแลสุขภาพทั้งครอบครัว พร้อมให้ความรู้ครบทุกมิติ ตั้งแต่อาการ การรักษา การป้องกัน ภายในงานได้เชิญ บีม-กวี และ ออย อฏิพรณ์ พร้อมครอบครัว ตันจรารักษ์ ทั้งหนุ่มน้อยแฝดซุปตาร์ น้องธีร์-น้องพีร์ และคู่แฝดสาว น้องอัยวา-น้องอัญญา มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่

 

 

โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้ออันดับต้นๆ ของประเทศไทย จากข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568-16 สิงหาคม 2568  มีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สะสมถึง 453,629 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 698.83 ต่อประชากรแสนคน มีจำนวนเป็นอันดับ 2 รองจากโรคโควิด19 โดยกลุ่มอายุที่มีอัตราป่วยมากที่สุดคือ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี และ 10-14 ปี ส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากสุดคือ A/H1N1 (pdm09) และคาดการณ์ว่าจนถึงสิ้นปี 2568 จะมีผู้ป่วยสูงถึงกว่า 9 แสนราย

พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งมั่นดูแลสุขภาพเด็กไทยอย่างครบวงจร เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย โดยเฉพาะการป้องกันโรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาสำคัญในสังคมอย่าง ‘ไข้หวัดใหญ่’ เพราะไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา อาการอาจรุนแรง และมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือไข้สมองอักเสบ กิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและนวัตกรรมการป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรค รวมทั้งสร้างความตระหนักให้ครอบครัวรู้วิธีป้องกันโรค ด้วยการดูแลสุขอนามัยและการรับวัคซีนที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของโรคและยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวไทยให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน  ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลยังเน้นย้ำเรื่อง Early Care รู้ทันก่อนเกิดโรค และ Prevention ลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ เพราะเราเชื่อว่าการป้องกัน ดีกว่าการเสียเงินเพื่อการรักษา”

ศ. นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างในขณะนี้ เป็นอีกหนึ่งช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอยู่ในวัยศึกษาในเนิร์สเซอรี่และโรงเรียน มีโอกาสสูงที่จะแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนในครอบครัวได้ โดยอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิตได้ ในประเทศไทยเมื่อปี 2567 มีเคสเด็กอายุ 7 ขวบเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ A ขึ้นสมองเฉียบพลัน ทำให้เป็นไข้สมองอักเสบเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ป้องกันได้ง่ายๆ ทั้งการล้างมือบ่อยๆ ปิดจมูกและปากเมื่อไอหรือจามหรือขณะอยู่ในที่สาธารณะ และการได้รับวัคซีนอย่างเหมาะสม ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก

แนะนำให้รับวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่องทุกปี ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 12-15% เท่านั้น ที่รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จึงอยากเชิญชวนให้นำบุตรหลานและทุกคนในครอบครัวมารับวัคซีนกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘วัคซีนแบบฉีด’ และ ‘วัคซีนแบบพ่นจมูก’ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ล่าสุดที่เพิ่งนำมาใช้ในประเทศไทย”

ด้าน พญ.วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “เพราะไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา หากมีอาการรุนแรงแล้วตอนนั้นลูกน้อยอยู่ในช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างหูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือรุนแรงจนส่งผลให้ปอดอักเสบ เสี่ยงเป็นไข้สมองอักเสบ ฯลฯ จึงอยากให้นำลูกน้อยเข้ารับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดทางสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยและสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้อัปเดตถึงคำแนะนำในการรับวัคซีน 2 ชนิด ได้แก่ 1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดฉีด ที่คุ้นเคยและใช้กันมาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี โดยสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และ 2. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากฉีดยา โดยสามารถรับได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 2-49 ปี มีจุดเด่นที่ไม่มีอาการเจ็บแผลจากการฉีดยา และยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ตั้งแต่บริเวณจมูกซึ่งเป็นจุดที่เชื้อไวรัสส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ถือเป็นการป้องกันและลดโอกาสในการติดเชื้อ  การมีวัคซีนทั้งแบบฉีดและแบบพ่นจมูก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ”

ด้านคุณแม่ลูกแฝด 4 อย่าง ออย-อฏิพรณ์ ตันจรารักษ์ กล่าวว่า “เวลาลูกป่วย บ้านก็จะสงบ เพราะทุกคนนอนเงียบไม่มีแรงซน พูดอะไรก็เชื่อฟัง ยอมกินอาหาร ให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดีเพราะอยากหายป่วย แต่ข้อเสียก็คือ ตัวติดกัน ยิ่งที่บ้านคือมี 4 คน คนหนึ่งหายอีกคนก็เป็นสลับกันไป ที่บ้านคือ เวลาตรวจเจอก็จะแยกพี่น้องไม่ให้เจอกัน รวมทั้งของใช้ส่วนตัวอย่างแปรงสีฟัน ก็จะเอาเข้าเครื่องยูวีฆ่าเชื้อรักษาความสะอาด สำหรับออยเวลาลูกป่วยก็ไม่อยากให้ admit สงสารลูกที่ต้องให้น้ำเกลือ แล้วเด็กๆ ก็ไม่อยากนอนโรงพยาบาลและกลัวโดนเข็มเจาะ ออยก็จะใช้วิธีเช็ดตัว วัดไข้ กินยา พยายามดูแลและรักษาอย่างเต็มที่ เรียกว่าเป็นหมอประจำบ้านเลยก็ได้ ออยว่าการป้องกันเป็นทางที่ดีที่สุด โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่พวกเราฉีดเป็นประจำทุกปี แล้วตอนนี้มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูกนี่ดี ปีหน้าที่ต้องรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็จะเลือกแบบพ่น มั่นใจได้เพราะที่ต่างประเทศใช้กันมากว่า 20 ปี แล้วยังสามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-49 ปี คืออะไรที่ใช้กับเด็กได้ ความปลอดภัยก็ต้องสูง ต้องถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่กลัวเข็มแน่ๆ”

ปิดท้ายด้วย บีม-กวี ตันจรารักษ์ คุณพ่อลูกแฝด 4 เล่าประสบการณ์เวลาลูกป่วยว่า “เวลาลูกป่วยก็จะสงสารเขา คือพีร์และธีร์อยู่ในช่วงวัยเรียน ถ้าหยุดเรียน เขาจะพลาดประสบการณ์บางอย่างไป ผมเลยไม่อยากให้หยุดเรียน ลูกเรามี 4 คนจะทำอย่างไรให้ 3 คนไม่ติดไปด้วย แต่ผู้ใหญ่นี่ติดแน่ๆ ผมนอนกับลูกชายก็จะติดไปด้วย ป่วยทีก็เป็นอาทิตย์ แล้วติดวนไป เพราะคนที่บ้านเยอะ แล้วก็สงสารออยเพราะเหนื่อยมาก เขาต้องดูแลทุกคน ก็เลยไม่อยากให้ลูกป่วย ดังนั้นวัคซีนไหนที่จำเป็นต้องฉีดก็ฉีดไม่ให้ขาด หรือต้องฉีดเป็นประจำทุกปี ฉีดแล้วก็ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นและแข็งแรง อย่างนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วยวัคซีนแบบพ่นจมูก ผมว่าเป็นทางเลือกที่ดีนะ ลองคิดดูว่า 4 แฝดเรียงคิวฉีดยา พอคนแรกโดน คนอื่นๆ ก็จะหงอกันแล้ว ถ้าเป็นแบบพ่นจมูก ชีวิตน่าจะง่ายขึ้น เพราะเด็กๆ คุ้นชินกับการล้างจมูกและพ่นจมูกปกติ”

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข