วันพฤหัสบดี ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568 04:26 น.

กทม-สาธารณสุข

 วันสายตาโลก: จักษุแพทย์เตือนภัยเงียบจากโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงวัยและผู้ป่วยเบาหวาน ย้ำตรวจเร็ว รักษาไว ลดความเสี่ยงสูญเสียการมองเห็น

วันพุธ ที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 10.34 น.

เนื่องในวันสายตาโลก แพทย์ชี้โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุและจอตาบวมจากเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร ย้ำตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ รักษาเร็ว–ต่อเนื่อง ช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่โรงแรมดุสิตธานี  เนื่องใน “วันสายตาโลก” (World Sight Day) ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปี โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม 2568 จักษุแพทย์เตือนประชาชนให้ตระหนักถึงความเสี่ยงโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD: Neovascular Age-related Macular Degeneration) และโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME: Diabetic Macular Edema) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามการมองเห็น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยโรคเบาหวาน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมการรักษาใหม่ ที่สามารถช่วยสนับสนุนผู้ป่วยให้เข้าถึงการดูแลรักษาได้สะดวกขึ้น ลดภาระการเดินทางมาโรงพยาบาล และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

สถานการณ์โรคจอตาในประเทศไทย

จำนวนผู้ป่วยโรคจอตาในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวานที่มากขึ้น โดยคาดว่ามีผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD) ประมาณ 25,500 คน จากประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไปกว่า 13.8 ล้านคน โดยการประมาณการนี้เป็นการประมาณการจากการศึกษาในประชากรกลุ่มตัวอย่าง (Population-based study) ซึ่งดำเนินการใน 42 อำเภอ รวม 21 จังหวัด เพื่อให้เป็นตัวแทนของประชากรในแต่ละภูมิภาคอย่างแท้จริง ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จะผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสัมภาษณ์ประวัติสุขภาพและครอบครัว การวัดระดับการมองเห็น การตรวจคัดกรองโรคตาเบื้องต้น และที่สำคัญคือ การถ่ายภาพจอตาด้วยกล้องดิจิทัล (Digital Fundus Photographs) ผลการศึกษาจากผู้เข้าร่วมกว่า 10,788 คน พบว่า ความชุกโดยรวมของโรคจุดภาพชัดเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD) อยู่ที่ 3.0% โดยแบ่งเป็น ระยะแรกเริ่ม (Early AMD) 2.7% และระยะรุนแรง (Late AMD) 0.3% และเมื่อพิจารณาเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยระยะรุนแรง พบว่าเป็น โรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ชนิดเปียก (wet AMD หรือ nAMD) ถึง 74.1% (1)

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการนี้ยังอาจเป็นไปได้ว่าต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาจเป็นโรคแต่ไม่ถูกนับรวมเข้ามาในผลการศึกษา เนื่องจากข้อจำกัดของวิธีการตรวจโดยดูจากการถ่ายภาพจอตา ที่ไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีภาวะต้อกระจกขุ่นมากๆ ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับจำนวนที่อาจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ขณะที่ข้อมูลรายงานผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME; Diabetic Macular Edema) มีอยู่อย่างจำกัดเช่นเดียวกัน โดยสามารถประมาณการคร่าวๆ ได้จากการศึกษาในโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ขนาดใหญ่ และเก็บจำนวนการศึกษาผู้ป่วยมากกว่า 1,130 คน พบว่า 34.78% มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (DR: Diabetic Retinopathy) และอีกรายงานการศึกษาพบว่า 33.68% ของผู้ป่วย DR มีภาวะ DME ดังนั้นเมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบกันกับคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยประมาณ 6.4 ล้านคน จากรายงานของ International Diabetes Federation (IDF) ปี 2025 จะพออนุมานจำนวนโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน ได้ประมาณ 750,000 คน (2,3)

เพื่อส่งเสริมความรู้และการเข้าถึงการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ได้จัดงานเสวนา “รอบรู้เรื่องโรคจอตา: รักษาการมองเห็นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอตาและวุ้นตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มาให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของจอตา สัญญาณเตือน การตรวจคัดกรอง และนวัตกรรมการรักษาที่ช่วยควบคุมโรคและคืนคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วย 

จอตาสำคัญอย่างไร?

นพ.ธนาพงษ์ อธิบายว่า “จอตาเปรียบเสมือนฟิล์มถ่ายรูปของดวงตา ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า ‘จุดรับภาพชัด’ (Macula) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจอตา มีหน้าที่สำคัญในการมองเห็นรายละเอียด เช่น การอ่านหนังสือหรือจดจำใบหน้า โรค nAMD และ DME จะเข้าไปทำลายจุดรับภาพชัดโดยตรง ส่งผลให้การมองเห็นส่วนกลางเสียหายถาวรได้ กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก”

รู้จักโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME) และโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD)

หากจะกล่าวถึงโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน อาจจะต้องเริ่มต้นจากโรคเบาหวานขึ้นจอตา (DR: Diabetic Retinopathy) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวานโดยตรง ซึ่งส่งผลต่อดวงตา เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจนทำลายเส้นเลือดที่จอประสาทตาซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพ

เมื่อหลอดเลือดเหล่านี้เสียหาย อาจเกิดการรั่วซึมของสารน้ำและเลือดออกมาที่จอประสาทตา หรือมีการอุดตันของหลอดเลือดจนทำให้เกิดการขาดเลือดและมีหลอดเลือดผิดปกติงอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ซึ่งโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนทางตาและส่งผลกระทบต่อการมองเห็นซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากภาวะเบาหวานขึ้นตาโดยตรงที่พบได้บ่อย กล่าวคือ เมื่อการรั่วซึมของสารน้ำและไขมันจากหลอดเลือดที่เสียหายนั้น เกิดขึ้นตรงบริเวณ "จุดรับภาพชัด" หรือ "มาคูลา" (Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจอตาในการมองเห็นรายละเอียดและความคมชัด การสะสมของของเหลวจึงทำให้จุดรับภาพชัดเกิดอาการบวม (Edema) ขึ้นมา โรคจุดรับภาพบวมจากเบาหวานนี้จึงไม่ได้เป็นโรคที่แยกขาดจากเบาหวานขึ้นตา แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเบาหวานขึ้นตาส่งผลกระทบต่อจุดรับภาพชัดโดยตรง และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของภาวะเบาหวานขึ้นตา

โรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD; Neovascular Age-related Macular Degeneration) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แม้ว่าผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุระยะรุนแรง (Late AMD) จะมีสัดส่วนที่น้อยกว่าระยะแรกเริ่ม แต่โรค nAMD กลับเป็นชนิดที่อันตรายและน่ากังวลที่สุด เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรงและรวดเร็วเป็นระดับวินาทีได้ โรค nAMD เกิดจากการที่มีหลอดเลือดผิดปกติงอกขึ้นใต้จอตา ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้มีความเปราะบางและรั่วซึมได้ง่าย ทำให้มีของเหลวหรือเลือดไปทำลายเซลล์รับภาพในบริเวณจุดรับภาพชัด (Macula) ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการมองเห็นภาพบิดเบี้ยว มีจุดดำบังตรงกลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความรุนแรงของโรค nAMD และการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่มีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการป้องกันภาวะตาบอดและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไว้

นพ.ธนาพงษ์ แนะนำให้สังเกต 4 อาการสัญญาณเตือนโรคทางจอตา ประกอบด้วย 1. การมองเห็นภาพบิดเบี้ยว เช่น เห็นเส้นตรงเป็นคลื่น หรือกรอบประตูหน้าต่างโค้งงอ 2. มีจุดดำหรือเงาดำบังกลางภาพ ทำให้การมองเห็นส่วนกลางหายไป 3. ความสามารถในการมองเห็นลดลง ต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการอ่านหนังสือ หรือแยกแยะความแตกต่างของสีได้ยากขึ้น 4. การมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว

“ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการในระยะแรก หรือเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสายตา ตามวัย หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจรักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร” นพ.ธนาพงษ์ กล่าว

การวินิจฉัยและนวัตกรรมการรักษา

การวินิจฉัยโรคจอตาในปัจจุบันเริ่มต้นจากการใช้เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพความผิดปกติในดวงตาของตนเองได้อย่างชัดเจน เช่น ภาพถ่ายจอตา (Fundus Photography) และภาพถ่ายจอตาแบบมุมกว้างพิเศษ (Ultra-widefield Imaging) ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงภาวะต่างๆ เช่น เส้นเลือดผิดปกติ หรือจุดเลือดออกในจอตา ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงปัญหาและตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาได้ทันที ร่วมกับการใช้เครื่องมือถ่ายภาพตัดขวางจอตา (OCT: optical coherence tomography) เครื่องตรวจภาพตัดขวางหลอดเลือดของจอประสาทตา (OCTA: optical coherence tomography angiography) และการถ่ายภาพจอประสาทตา ด้วยเทคโนโลยี AI (Deep-Learning AI Retinal Image) ที่จักษุแพทย์สามารถใช้เพื่อการวินิจฉัยเชิงลึก โดยการตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ และเริ่มต้นการรักษาโดยเร็ว (Early Treatment) คือหัวใจสำคัญที่สุดที่จะช่วยชะลอหรือหยุดยั้งความเสียหายต่อดวงตา และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
สำหรับแนวทางการรักษาที่ได้มาตรฐานคือ การฉีดยาเข้าวุ้นตา (Intravitreal Injection) ในกลุ่มยา Anti-VEGF เพื่อยับยั้งการรั่วซึมของหลอดเลือดและลดอาการบวมบริเวณจุดรับภาพชัด ซึ่งจะช่วยรักษาระดับการมองเห็นไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน การรักษาจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำควบคู่ไปกับ การควบคุมโรคประจำตัวอย่างเข้มงวด (Systemic Disease Controlled) ผู้ป่วยจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางโรคเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงการปรับเปลี่ยนอาหารการกินด้วย ดังนั้น ความร่วมมือของผู้ป่วยในการมาฉีดยาตามนัดและมีวินัยในการดูแลสุขภาพของตนเอง (Adherence) ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการรักษา เพื่อให้สามารถควบคุมโรคได้ในระยะยาวและคงการมองเห็นที่ดีไว้ให้ได้นานที่สุด

นพ.ธนาพงษ์  กล่าวด้วยว่า “หัวใจสำคัญของการรักษาคือการควบคุมโรคให้ได้ในระยะยาว แต่ความท้าทายหลักคือภาระที่ผู้ป่วยต้องเดินทางมาโรงพยาบาลบ่อยครั้งเพื่อรับการฉีดยา ซึ่งในอดีตอาจต้องมาทุก 1–2 เดือน สร้างความลำบากทั้งด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และความกังวล”

“ปัจจุบันมีนวัตกรรมยาฉีดรุ่นใหม่ในกลุ่ม Anti-VEGF ที่สามารถออกฤทธิ์ในดวงตาได้นานขึ้น ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ เพราะช่วยให้จักษุแพทย์สามารถยืดระยะห่างของการฉีดยาออกไปได้ โดยยังคงประสิทธิภาพในการควบคุมโรคไว้ได้เทียบเท่ากับการฉีดบ่อยครั้ง ซึ่งช่วยลดภาระการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยจากต่างจังหวัด และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีเวลาสำหรับครอบครัวและการใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่า ยาชนิดใหม่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME) ถึง 47% และผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ชนิดเปียก (nAMD) ถึง 53% สามารถยืดระยะห่างการรักษาออกไปได้นานถึง 20 สัปดาห์หรือมากกว่า”

นพ.ธนาพงษ์ ย้ำว่า “การป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่ดีที่สุดคือการตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี แม้ไม่มีอาการผิดปกติ ส่วนผู้ป่วยเบาหวานถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดภาวะเบาหวานขึ้นจอตาและ ภาวะจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวานจึงควรได้รับการตรวจจอตาอย่างละเอียดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี”

ความมุ่งมั่นของไบเออร์ไทย

ภญ.ชัชชญา ฉัตรรัตนารักษ์ Head of Focus Brand แผนกฟาร์มาซูติคอล บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า“ไบเออร์ ในฐานะบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมยาและเวชภัณฑ์ มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เราจึงสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคทางจอตา และขอมีส่วนร่วมในการรณรงค์เนื่องในวันสายตาโลก เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองสุขภาพตา และสามารถเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขต่อไป”

โรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD) และโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME) เป็นภัยเงียบที่คุกคามการมองเห็น แต่สามารถจัดการได้หากตรวจพบเร็วและรักษาอย่างต่อเนื่อง นวัตกรรมยารักษาใหม่ที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนานขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่สำคัญซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคในระยะยาว และลดภาระการรักษา ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจและรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
 
เกี่ยวกับไบเออร์

ไบเออร์เป็นบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญหลักในด้านไลฟ์ซายน์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและโภชนาการ ด้วยพันธกิจ ทุกคนมีสุขภาพดี ไม่ขาดแคลนอาหาร (Health for all, Hunger for none) ผลิตภัณฑ์และบริการของไบเออร์ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยผู้คนและโลกของเราโดยการสนับสนุนความพยายามในการก้าวข้ามอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับประชากรโลกที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นและมีประชากรสูงอายุมากขึ้น ไบเออร์มุ่งมั่นที่จะผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในเชิงบวกด้วยธุรกิจของบริษัท พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้มุ่งเป้าในการเพิ่มรายได้และสร้างคุณค่าจากนวัตกรรมใหม่ๆ และการเติบโต โดยภายใต้เครื่องหมายการค้าไบเออร์ บริษัทได้รับความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในระดับโลก ในปีงบประมาณ 2567 กลุ่มบริษัทมีพนักงานราว 93,000 คน และมียอดขาย 46.6 พันล้านยูโร ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาก่อนรายการพิเศษรวมเป็น 6.2 พันล้านยูโร หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.bayer.com

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข