วันที่ 26 ธันวาคม 2568 ที่กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ บูรพา 491 จังหวัดชลบุรี พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.2 พร้อมด้วย พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ผบก.สส.ภ.2 พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2 และ พ.ต.อ.กุลชาต กุลชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี/หัวหน้าชุดปฏิบัติการยาเสพติด ภ.2 ร่วมกันข่าวผลงานของชุดสืบสวนภาค2, หน่วยสวาท บูรพา 491, และสำนักงาน ป.ป.ส. เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ภาคตะวันออก “ตั้ม งามน้ำใจ”

ปฏิบัติการดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืด โดยพล.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ผบก.สส.ภ.2 ได้นำเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายตามหมายศาล จำนวน 5 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดระยอง เพื่อจับกุม นายประเสริฐ หรือ “ตั้ม งามน้ำใจ” หัวหน้าขบวนการ พร้อมเครือข่ายรวม 8 ราย ตามหมายจับศาลจังหวัดระยอง ในความผิดฐานสมคบเกี่ยวกับยาเสพติด จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อการค้า และฟอกเงิน

ผลการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายประเสริฐ หรือ “ตั้ม งามน้ำใจ” ได้ภายในห้องเช่ารายวันแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พร้อมผู้ร่วมขบวนการอีก 4 ราย ซึ่งพักอาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ได้ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่าย ประกอบด้วย รถยนต์หรู 8 คัน บ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง คอนโดมิเนียม 1 ห้อง ทรัพย์สินเฉพาะเจาะจงมูลค่า 33 ล้านบาท อายัดบัญชีธนาคารจำนวน 1,090 บัญชี พระเครื่องยอดนิยม เงินสด 1.2 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นรวมมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 183 ล้านบาท

พล.ต.ท.ฉัตรชัย ผบช.ภ.2 เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นผลจากการขยายผลคดีสำคัญ หลังตำรวจภูธรภาค2 สามารถจับกุมขบวนการลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี และตรวจยึดยาบ้าได้มากถึง 2.5 ล้านเม็ด จากนั้นได้สืบสวนต่อเนื่องจนทราบโครงสร้างเครือข่าย ตั้งแต่ผู้สั่งการ ผู้ลำเลียง แหล่งพักยา ไปจนถึงกลุ่มฟอกเงิน รวมกว่า 22 ราย ซึ่งให้การตรงกันว่า “ตั้ม งามน้ำใจ” เป็นหัวหน้าขบวนการรายใหญ่

จากการติดตามพฤติกรรมเป็นเวลากว่า 2 เดือน พบว่า นายประเสริฐ ไม่มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง ใช้วิธีให้ลูกน้องกระจายเช่าห้องพักและคอนโดมิเนียมไว้เป็นแหล่งพักยาเสพติด และสถานที่ผลิตพอตเค ก่อนกระจายส่งต่อให้เครือข่ายรายย่อย โดยหัวหน้าขบวนการจะใช้รถยนต์หรูสลับเปลี่ยนหลายคันในการลำเลียง เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่

ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหารวม 8 ราย และหมายค้น 5 จุด ใน 3 จังหวัด กระทั่งสามารถจับกุมได้แล้ว 5 ราย ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 รายอยู่ระหว่างหลบหนี ทั้งนี้พบว่าหนึ่งในผู้ต้องหาเคยเป็นอดีตเซียนพระ ก่อนประสบปัญหาทางการเงินและเข้าสู่วงจรยาเสพติด ทำหน้าที่จัดหาอุปกรณ์ในการผลิตพอตเค ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในสถานบริการยามค่ำคืน

การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดตอนขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ระดับภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของตำรวจภูธรภาค 2 โดยหลังจากนี้จะเร่งขยายผลสอบสวนเส้นทางการเงิน และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด