วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568 18:22 น.

การศึกษา

ไทยพร้อมเป็น Hub ส่งออกวัคซีนในเอเชีย-แปซิฟิก

วันศุกร์ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562, 11.33 น.

ไทยพร้อมเป็น Hub ส่งออกวัคซีนในเอเชีย-แปซิฟิก

 
 
เป็นที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยที่ประเทศไทยมีโรงงานผลิตวัคซีนในระดับมาตรฐานโลก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตวัคซีนขนาดใหญ่ ที่พร้อมปฏิบัติงานในการป้องกันโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนให้กับคนไทยมานานกว่า 2 ทศวรรษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัท องค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด หรือ GPO-MBP ได้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก
 เภสัชกร บุญรักษ์ ถาวรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด กล่าวว่า “บริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เป็นโรงงานผลิตวัคซีนร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด และบริษัท ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ จำกัด โดยก่อตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปลายปี 2540 ซึ่งนับเป็นโรงงานผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ได้มาตรฐานดีเยี่ยมแห่งหนึ่งของเอเชีย รวมถึงเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการส่งออกวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี ไปยัง 15 ประเทศในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านวัคซีนระดับมาตรฐานโลกในการดูแลสุขภาพประชาชนทั่วประเทศและทั่วภูมิภาค และเป็นผู้ผลิตหนึ่งเดียวของประเทศที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานองค์การอนามัยโลก (WHO)”
 
พลโท สุชาติ วงษ์มาก กรรมการ บริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพและผลงานความสำเร็จของ GPO-MBP ที่ผ่านมาถือเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างมั่นใจว่าประเทศชาติจะมีความมั่นคงทางวัคซีน ทั้งจากการผลิตวัคซีนเพื่อเด็กไทยและเอื้อประโยชน์ในต่างชาติ เช่น วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี ที่ผลิตขึ้นเองและยังสามารถส่งออกไปยัง 15 ประเทศ นำรายได้เข้าประเทศได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะพัฒนาและผลิตวัคซีนเองภายในประเทศให้ครอบคลุมโรคต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด รวมถึงมีการวางกลยุทธ์ในการขยายการผลิตวัคซีน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ และส่งเสริมการประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคงด้านวัคซีนจากรัฐบาล”
 
 
 
 
นายแพทย์ ดร. จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 และมีผลบังคับใช้วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้นว่า “เปรียบเสมือนตัวกำหนดให้มีกลไกที่เป็นระบบในการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้มีการวิจัย การพัฒนา การผลิต การประกัน การควบคุมคุณภาพ การจัดหา การกระจายวัคซีน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่เหมาะสมและต่อเนื่องในระยะยาว เป็นการสร้างหลักประกันนโยบายแห่งรัฐเพื่อขับเคลื่อนภารกิจและยุทธศาสตร์วัคซีน และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะผลักดันประเทศสู่ความมั่นคง สามารถพึ่งตนเองและการเป็นผู้นำด้านวัคซีนในระยะยาว ทำให้ประชาชนเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศ และทำรายได้เข้าประเทศโดยการส่งออกวัคซีน โดยที่ผ่านมา ยังขาดการรวมพลังระหว่างองค์กรที่มีศักยภาพในการพัฒนางานด้านวัคซีน และขาดความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ที่จะเข้ามามีส่วนช่วยผลักดันให้สอดประสานและมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน”
 
รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน เป็นวิธีป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง และมีความคุ้มค่ามากที่สุด ทุกวันนี้มีกว่า 30 โรคที่สามารถป้องกันหรือลดโรคจากการฉีดวัคซีนได้ โดยทุกๆ ปี วัคซีนสามารถช่วยชีวิตคนได้ 2.5 ล้านคนทั่วโลก และ 750,000 คนรอดพ้นจากความพิการต่างๆได้ ในฐานะที่ผมทำงานคลุกคลีอยู่ในแวดวงวัคซีนมากว่า 40 ปี จึงอยากเห็นนโยบายของประเทศส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งการคิดค้นพัฒนาและการผลิตวัคซีน ต้องอาศัยความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาศัยความสามารถในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้องลงทุนสูงแต่มีโอกาสทำกำไรไม่มาก ในระยะต้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมด้านเงินทุนจากภาครัฐ โดยไม่มุ่งเน้นผลตอบแทนเพื่อคืนทุนในระยะสั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อการสร้างศักยภาพและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

หน้าแรก » การศึกษา