รำลึก รำวงยุคสร้างชาติ สู่ยุคฟื้นฟู
รำวง เมื่อพูดถึงการละเล่นประเภทนี้ หลายคนคงจะจินตนาการแตกต่างกันไปต่างๆนาๆ บ้างก็นึกถึงชายหญิงชาวบ้านออกมารำคู่กัน บ้างนึกถึงผู้หญิงหน้าตาสะสวยสวย ยืนเรียงรายอยู่บนเวทีและเต้นตามจังหวะเพลง อาจจะมีผู้ชมที่เป็นผู้ชายมาขอเต้นด้วย ตามแต่จังหวะและรอบๆ ของบทเพลงที่ชอบ นั่นคือภาพจำที่แต่ละคนมีต่อ การละเล่นที่ชื่อ “รำวง”
จากภาพจำที่หลากหลายหรือบางภาพก็เลือนรางเหลือเกิน ส่งผลให้ฝ่ายข่าวศิลปวัฒนธรรมบันเทิง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จัดเสวนาที่มีรูปแบบอบรมปฏิบัติการ “ย้อนยุคบันเทิงเริงรำวง”ขึ้น เพื่อบอกเล่าความเป็นมาเป็นไป วิธีการของการละเล่นประเภทนี้ ในวันที่ 24 ส.ค.2562 เวลา 09.00-16.00 น.
ครูสุรินทร์ ภาคศิริ นักประพันธ์เพลง/นักจัดรายการวิทยุ เล่าว่ารำวงเกิดขึ้นจากความเป็นผู้นำของจอมพลป.พิบูลสงคราม ต้องการสร้างเอกลักษณ์ความเป็นชาติผ่านการละเล่นรำวงสามัคคี หรือเรียกอีกชื่อว่ารำโทน ด้วยแรงบันดาลใจเมื่อครั้งที่จอมพล ป. ลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดทางภาคอีสานและภาคเหนือ โดยเฉพาะเขตแดนทางภาคอีสานที่ติดกับประเทศลาวซึ่งชาวบ้านได้มาต้อนรับและนำศิลปะ “รำโทน” มาจัดแสดงต้อนรับคณะ ซึ่งในครั้งนั้นมีท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยาของจอมพล ป. เดินทางไปด้วย การเดินทางครั้งนั้นจึงเป็นแรงผลักดันให้ จอมพลป. สนับสนุนการละเล่นอย่างรำโทนก้าวขึ้นสู่วัฒนธรรมระดับชาติ วัฒนธรรมรำโทนจึงเกิดขึ้นภายใต้นโยบายชาติภายใต้การนำของจอมพลป. แพร่หลายสู่ท้องถิ่นไทยทั่วทุกภาคอย่างฉับไว สมัยนั้น ผ่านกลไกสำคัญหลังของกระทรวงธรรมการ กลมกลืนเข้าสู่ทุกสังคมไทยจนกลายเป็นการละเล่นของไทย
พลังของรำวงหรือรำโทน ทรงพลังสูงมากและเป็นการละเล่นที่รัฐสถาปนาให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงมาก เพราะประชาชนทั่วไปต่างยอมรับและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายแนบสนิทไปกับการละเล่นดั่งเดิมของผู้คนในยุคนั้น ส่วนที่มาของชื่อรำโทนนั้นมาจากการใช้อุปกรณ์ “โทน”เข้ามาเป็นเครื่องดนตรีเพื่อสร้างจังหวะให้กับรำโทน โทนเป็นกลองหน้าเดียว ส่วนชื่อรำวง นั้นมาจากท่วงท่าการก้าวเท้า ตามกันเป็นวงจนได้ชื่อว่า “รำวง” ต่อมาเมื่อชาวกรุงพบเห็นการรำประเภทนี้ จึงเรียกว่า “รำวงพื้นเมือง”
จากนั้นรำวงหรือรำโทนถูกยกระดับขึ้นเป็นรำวงมาตรฐาน และผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการสถาปนาความเป็นชาติไทยด้วย รำวง ก็คือคุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม มีการแต่งเพลงรำวงซึ่งรัฐบาลได้สร้างขึ้นเป็นแม่แบบจำนวน 10 เพลง โดยบทเพลงส่วนใหญ่คำร้องเป็นฝีมือการประพันธ์ของคุณหญิงละเอียด
บทเพลงทั้ง 10 เพลงยังได้ถูกจัดให้กับนักเรียน นักศึกษาได้รำกันจนถึงปัจจุบันนี้ คือ 1.ดอกไม้ของชาติ 2.ดวงจันทร์วันเพ็ญ 3.บูชานักรบ 4.ดวงจันทร์ขวัญข้าว 5.หญิงไทยใจงาม6.ยอดชายใจหาญ 7.งามแสงเดือน 8.ชาวไทย9.รำมาซิมารำ 10.คืนเดือนหงาย
หากแต่วิวัฒนาการของการประยุกต์ คิดค้น แต่งเติม การละเล่นรำวงหรือรำโทนมิได้หยุดลงตรงนั้น ยังมีผู้คนที่ได้รับอิทธิพลของดนตรีตะวันตก นำรำวงมาประยุกต์ท่าเต้นใหม่ด้วยการใส่ทำนอง การเคลื่อนไหว โยกย้ายส่ายสะโพก ปรับให้เข้ากับรำวงยุคเดิม เรียกชื่อใหม่ว่า “รำวงย้อนยุค” เกิดเป็นรำวงที่สนุก เร้าใจเพิ่มขึ้นกว่ารำวงแบบเดิม จากการปรับเปลี่ยน ประยุกต์ท่วงท่า การรำและบทเพลงรำวงยังส่งผลถึงการเกิด “เพลงลูกทุ่งและลุกกรุง” ขึ้นในยุคปัจจุบันด้วย กับจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่าง สโล สวิง บีกิน รุมบ้า แซมบ้า คองก้า คาลิปโซ่ กัวลาซ่า อ๊อปบิท ช่า ช่า ช่า และตลุง ในบางจังหวะยังมีกลิ่นอายของรำวงให้ได้สัมผัส อย่าง สโลรำวง หรือรำวงธรรมดา และรำวงสวิง ในอดีตกระแสความนิยมรำวง ส่งผลให้เกิดวงรำวง ดังๆ หลายวง แต่เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป คณะรำวงที่มีชื่อ เป็นที่รู้จัก กลับจางหายไปและถูกลืม ถึงตอนนี้ยังคงเหลือผู้สูงอายุในบางชุมชนที่สามารถเต้นรำวงได้ อย่างเช่นรำวงย้อยยุค คณะรำโทนพื้นบ้านไทยเบิ้งโคกสลุง จ.ลพบุรี มีผู้สูงวัยตั้งตั้งอายุ 70-80 ปียังเต้นรำวงในทำนอง เพลงที่สนุกสนานและเร้าใจกันอยู่
ครูสุรินทร์ กล่าวต่อก่อนจะร่ำลา “ผมอยากเห็นคณะรำวงได้รับการฟื้นฟูและสนับสนุนให้เกิดการสืบทอดท่าเต้นที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ ซึ่งการหันมาสนใจการละเล่นแบบไทยๆอย่างรำวง เป็นการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทย และยังส่งเสริมในเรื่องสุขภาพกายจิตที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ที่เลือกกิจกรรมรำวง ในสถาบันการศึกษาผมก็อยากเห็นนักเรียน นักศึกษาได้ฝึกหัดรำวงย้อนยุคกัน เพราะจะส่งเสริมในเรื่องบุคลิกภาพที่ดีด้วย