วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568 18:21 น.

การศึกษา

ปรมาจารย์การวิจัยย้ำจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ ต้องตระหนักกลุ่มเปราะบางทางสังคม

วันจันทร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 13.12 น.

วันจันทร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรหลักสันติศึกษา เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดเผยว่า ได้ร่วมเข้ารับการฝึกอบรมหลักจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ สาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มีคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาเข้าร่วม ๒๐๐ รูป/คน เข้าร่วม  โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. โยธิน แสวงดี ประธานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์สาขาสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายเรื่อง หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ กล่าวประเด็นสำคัญว่า หลักสิทธิมนุษยชนสำคัญมากในการทำวิจัย ซึ่งหัวใจสำคัญในหลักจริยธรรมทำวิจัยในคนทั่วไป หรือ The Belmont Report ประกอบด้วย หลักการด้านพิทักษ์สิทธิและเคารพต่อบุคคล หรือ Respect for person  หลักที่เน้นประโยชน์ ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเสียหายต่อบุคคล  และหลักที่เน้นความยุติธรรม ซึ่งรายงานเบลมองต์เกิดขึ้นสหรัฐอเมริกา จัดให้มีพระราชบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๑๗ เพื่อคุ้มครองอาสาสมัครสำหรับการวิจัยการแพทย์และพฤติกรรม ซึ่งการต้องทำกับการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งเป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เป็นหลักจริยธรรมสากลสำหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ 

โดยภูมิหลังของการวิจัยในมนุษย์เกิดจากกฎนูเรมเบิร์ก เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด เพราะในระหว่างสงครามมีการทดลองของชาวนาซีในมนุษย์ คล้ายกับการรังแกมนุษยชาติอย่างไร้มนุษยธรรม โดยผู้เขียนกฎนูเรมเบิร์กคือ นักกฎหมาย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำงานวิจัยที่ถูกต้อง ถูกหลักการทางจริยธรรม เน้นการยินยอม ต้องตระหนักถึงสิทธิของบุคคลที่เป็นผู้ร่วมวิจัย เด็ก ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้หมดสติ ผู้มีสติฟั่นเฟือน ผู้สูงอายุ ผู้หมดสติ 

โดยมีปฏิญญาเฮลชิงกิมีการปรับแก้ที่นักวิจัยและผู้ร่วมวิจัย คลอบคลุมไปถึงผู้ให้ทุน กรรมการวิจัย  ทีมงานวิจัย สถาบันวิจัย ผู้เข้าร่วมวิจัย รวมทั้งอาสาสมัครโครงการวิจัย เจ้าหน้าที่ ต้องรับทราบอย่างเคร่งครัดเรื่องการละเมิดสิทธิและความถูกต้องของหลักการวิจัย ระเบียบวิธีการวิจัย แม้แต่ในสถานการณ์ของโควิดมองว่าเป็นการประดิษฐ์ไวรัสที่มีการทดลองกับมนุษย์จึงต้องมีการตระหนัก จริยธรรมในการวิจัยใครพิจารณา คือ คณะกรรมการจริยธรรมวิจัย กองบรรณาธิการวารสาร รองบรรณาธิการ ผู้ช่วยบรรณาธิการ ผู้อ่านประเมินผลการวิจัย และบทความวิชาการที่จะลงวารสารผิดจริยธรรมการวิจัยไม่ได้ และ ผู้เป็น กพอ.เมื่อผู้เขียนยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งเกณฑ์ประเมินกลุ่มเปราะบางประกอบด้วย ทารกในครรภ์ตัวอ่อน  ทารก เด็ก ผู้เยาว์ อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี สตรีมีครรภ์  ผู้ต้องขัง แรงงานต่างด้าว ผู้ป่วยโรคติดต่อเชื้อร้ายแรง ผู้ป่วยเรื้อรัง นักเรียน นักศึกษา หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ด้วยโอกาสทางสังคม เช่น ขอทาน คนพิการ หรือ อาชีพหญิงบริการ เป็นต้น เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิต่อบุคคล โดยการวิจัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์จะต้องคำนึงเรื่องจริยธรรมในมนุษย์ 

หากมีใช้การทดลองทางการศึกษาต้องได้รับความยินยอมจากผู้รับผิดชอบข้อมูลแล้ว ต้องขอการรับพิจารณาจริยธรรมการแก้วิจัยในมนุษย์ โดยอย่าให้ใครสามารถสืบค้นได้กับผู้ให้ข้อมูลกรณีชื่อ นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวประกอบด้วย พฤติกรรม หรือ ทัศนคติเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจ ทางเพศ  การดื่มสุรา หรือ เสพสารเสพติด การกระทำผิดศีลธรรม การเจ็บป่วยทางเกิด หรือ โรคติดต่อ ในกรณีโควิดถ้ามีการทำวิจัยกับมนุษย์จะต้องทำจริยธรรมเพราะคำถามอาจจะนำไปสู่เจ็บป่วยทางจิต รวมถึงทักษะต่างๆ อาจนำไปสู่ปมด้อย งานวิจัยที่อ่อนไหวคณะกรรมการจะให้ความสำคัญมากเพราะเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพหรือการวิจัยแบบผสมผสาน ที่มีการสัมภาษณ์รวมถึงการโฟกัส ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับการวิจัยอาจทำให้อาสาสมัครได้รับผลกระทบต่อจิตใจเสี่ยงต่อการเสื่อมเสีย  ชื่อเสียงเงินทองได้รับความเสียหายต่ออาชีพตำแหน่งหน้าที่งานหรือผลกระทบทางการศึกษา ผู้วิจัยต้องตระหนักมิใช่ว่าแต่อยากได้แต่ข้อมูลแต่ต้องคำนึงว่าจะส่งผลเสียต่อผู้ให้ข้อมูลหรือไม่อย่างไร 

เกณฑ์การพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์แบ่งออก ๓ ประเภท คือ ๑)การยกเลิกการพิจารณาจริยธรรมโครงการวิจัย : Exemption ได้แก่ งานวิจัยด้านการศึกษา งานวิจัยซึ่งนำผลตรวจที่มีอยู่แล้วมาทำการวิเคราะห์ใหม่ในภาพรวมโดยไม่เชื่อมโยงถึงข้อมูลส่วนบุคคล เป็นงานวิจัยที่ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิ หน้าที่ ความเป็นอยู่ หรือ ปลอดภัยอาสาสมัคร ๒)พิจารณาโครงร่างการวิจัยแบบเร่งด่วน : Expedited คือ ลักษณะวิธีดำเนินการวิจัยที่มีความเสี่ยงน้อยต่ออาสาสมัคร คือ มีความเสี่ยงไม่มากกว่าความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน โดยประธานคณะกรรมการมอบหมายให้กรรมการหลัก ๒ คน ทบทวนโครงการ โดยกรรมการต้องไม่ได้เป็นผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย หรือที่ปรึกษา หรือ  ไม่มีผลประโยชน์ซับซ้อน  เป็นข้อมูลทุติยภูมิ  ๓)พิจารณาโครงร่างการวิจัยโดยคณะกรรมการเต็มชุด : Full Board คือ งานวิจัยที่มีความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ ความเป็นอยู่ หรือความปวามปลอดภัยของอาสามสมัคร  มักจะเสี่ยงกับอาสามสมัครที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นบุคคลที่สามารถชักจูงให้เข้าร่วมการวิจัยได้โดยง่ายหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมการวิจัย ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือ ผู้ที่ตอบตกลงเข้าร่วมการวิจัยเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกกลั่นแกล้งจากผู้มีอำนาจเหนือกว่าว่าหากปฏิเสธ เช่น ผู้ที่อยู่ในองค์กรที่มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น เช่น นักเรียน นักศึกษากับอาจารย์ หัวหน้ากับลูกน้อง ผู้ต้องขัง ผู้ติดยาเสพติด เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยวิกฤต คนตกงาน คนยากจน เผ่าพันธุ์กลุ่มน้อย ผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้เร่ร่อน ผู้อพยพ ผู้เยาว์ โดยประธานคณะกรรมการมอบหมายให้คณะกรรมการหลักจำนวน ๒ คน ทบทวนโครงการ

ในการยื่นขอจริยธรรมในมนุษย์จะต้องเน้นสิทธิมนุษยธรรมและยุติธรรม ในการยื่นข้อเสนอพิจารณาจริยธรรมในมนุษย์โดยนักวิจัยต้องยื่นประกอบด้วย โครงร่างการวิจัย ความเป็นมาความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตการวิจัย นิยามศัพท์ ประโยชน์ที่ได้รับ  การทบทวนวรรณกรรม กรอบแนวคิดการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรกลุ่มตัวอย่าง  เครื่องมือการวิจัย การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล เอกสารอ้างอิง ภาคผนวกเครื่องมือ แบบสอบถาม เป็นต้น โดยคณะกรรมการไม่ได้จับผิดแต่มุ่งเคารพในสิทธิความเป็นมนุษย์ โดยมีการคำนึงเกณฑ์มาตรฐานอย่างเคร่งครัด จำนวน ๒๙ ข้อ  จึงย้ำว่า “งานวิจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเปราะบางเป็นงานวิจัยเชิงบวกและผู้ให้ข้อมูลยินยอมสามารถระบุชื่อและภาพได้ ซึ่งเป็นงานวิจัยในสมัยใหม่ เป็นแหล่งเรียนรู้ พัฒนาในเชิงบวก” ซึ่งการวิจัยเชิงทดลองในสายสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์จึงไม่แพ้ในสายวิทยาศาสตร์ แต่ “การพัฒนามนุษย์ทุกมิติที่เป็นงานวิจัยแบบ R and D ต้องมีการทำจริยธรรมการวิจัยในพัฒนามนุษย์เพราะเป็นการสิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจ” ซึ่งผู้ให้ข้อมูลการวิจัย การโฟกัสที่ได้มากซึ่งข้อมูล โดยผู้วิจัยต้องตระหนักถึงคำว่าสามัญสำนึก เพราะการวิจัยอาจจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง ผู้วิจัยต้องมีความละเอียดมีความใส่ใจจึงสามารถดำเนินโครงการได้ 

การวิจัยในมนุษย์จึงต้องทำจริยธรรมในมนุษย์ การสุ่มตัวอย่างในเชิงปริมาณ กับ ผู้เชี่ยวชาญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีความไม่ชัดเจน ด้วยการเขียนประชากร การสุ่มตัวอย่างให้ชัดเจน มีกระบวนการค้นหาผู้รู้ที่ชัดเจนในการให้ข้อมูล เครื่องมือการวิจัยมีการประเมินเป็นรายข้อ มีผลต่อจิตใจและมีอำนาจบังคับหรือไม่ เช่น สมรส หย่าร้าง โสด หรือระดับการศึกษา  ลักษณะแบบนี้จะต้องระวัง การวิจัยเชิงคุณภาพมีแนวคำถามที่มีความชัดเจน มีแนวคำถามแบบปลายเปิดเช่น มีคำว่าอย่างไร นักวิจัยต้องถามแบบไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวอันกระทบทางด้านจิตใจ ผู้วิจัยจะต้องผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์โดยเฉพาะหัวหน้าโครงการวิจัย ซึ่งกรณี “ผู้วิจัยเป็นนิสิตนักศึกษาจะต้องยืนยันการผ่านการสอบป้องกันโครงร่างวิทยานิพนธ์จากบัณฑิตวิทยาลัย” ส่วนโครงการวิจัยรับทุนจะต้องมีใบรับรอง หากมีความจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงการวิจัยจะต้องแจ้งให้คณะกรรมการจริยธรรม ซึ่งการวิจัยเชิงพัฒนาจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ เช่น สถานการณ์โควิด   โดยเอกสารรับรองโครงการวิจัยมีอายุการรับรอง ๑ ปี นับจากวันที่รับรอง เมื่อเสร็จสิ้นโครงการวิจัยแล้วหัวหน้าโครงการวิจัยต้องส่งบทคัดย่อและรายงานแจ้งปิดโครงการ (Close-out Report)

ดังนั้น ปรมาจารย์ด้านการวิจัยพยายามมุ่งว่าจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ จะต้องตระหนักถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม มุ่งเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ป้องกันผลกระทบด้านจิตใจ ซึ่งงานวิจัยอ่อนไหวป้องกันการรังแกมนุษยชาติอย่างไร้มนุษยธรรม ภายใต้จริยธรรมวิจัยด้านสังคมศาสตร์ด้านมนุษยศาสตร์และด้านพฤติกรรมศาสตร์ ให้มีความเหมาะสมในการวิจัยของสถานการณ์โควิด 

หน้าแรก » การศึกษา