วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567 06:58 น.

การศึกษา

มทร.อีสาน พัฒนาโปรแกรมควบคุมเครื่องผสมน้ำคราม

วันพุธ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564, 14.15 น.
มทร.อีสาน พัฒนาโปรแกรมควบคุมเครื่องผสมน้ำคราม
 
 
นายนครินทร์ ศรีปัญญา ผู้ช่วยคณบดีคณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน)  วิทยาเขตสกลนคร เปิดเผยว่า ผ้าย้อมครามนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้าน คนในชุมชนและสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสกลนคร ซึ่งการทำผ้าย้อมครามด้วยวิธีธรรมชาติมีกระบวนการที่ซับซ้อน ใช้ทั้งแรงคนและใช้ระยะเวลาในการทำ หลายครัวเรือนจึงหันไปใช้กระบวนการฟอกย้อมสีจากสารเคมีแทนเพื่อให้ทันต่อการผลิตและการจำหน่าย แต่การใช้สารเคมีนั้นจะทำให้สีสันของครามและการให้กลิ่นนั้นแตกต่างกัน ด้วยเห็นคุณค่าในการอนุรักษ์ผ้าย้อมครามด้วยวิธีธรรมชาติจึงได้นำนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ 3  (ปวช.) โปรแกรมไฟฟ้าและช่างยนต์  จำนวน 4 คนจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ในนาม “ทีมครามละมุน”  ลงพื้นที่ชุมชนผ้าครามอูนดง อ.พรรณนิคม จ.สกลนคร ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการทอผ้าย้อมครามด้วยวิธีธรรมชาติมาแต่ดั้งเดิม ศึกษากระบวนการทำตั้งแต่ต้นทาง และวิเคราะห์ร่วมกันว่าจะมีส่วนใดที่พอจะช่วยชาวบ้านกลุ่มนี้ได้บ้าง
 
 
จากการลงพื้นที่พบว่ามีกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกและดูแล การใช้กำลังคนในการเคี่ยวกวนคราม เพื่อให้ได้เนื้อครามที่มีคุณภาพ และปัญหาสำคัญคือชาวบ้านที่ทำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ  มีกระบวนการ 2 อย่าง ที่เป็นความยากลำบากในกลุ่มผู้สูงอายุ คือ ขณะตีน้ำคราม ต้องใช้กำลังที่มีความสม่ำเสมอจึงจะได้เนื้อคราม หรือการนำใบครามลงไปแช่น้ำในถัง 200 ลิตร เพื่อหมักไว้ 1 คืน หลังจากนั้นนำใบครามออกมา เพื่อตีกับปูนขาว ซึ่งเป็นกระบวนการเติมอากาศให้คราม ในส่วนนี้ชาวบ้านซึ่งมีเครื่องกวนอยู่แล้ว ทั้งแบบปั่นและกระทุ้งน้ำ แต่ในส่วนใบพัดหมุนจะยังขาดอากาศในการเติมเข้าไป เนื่องจากไม้ตีจะสานด้วยไม้ไผ่แบบมีรู จะทำการกวนไปเรื่อยๆ ไม่ให้ปูนนอนก้นควบคู่ไปกับการดึงน้ำให้ขึ้นมามีอากาศเติมเข้าไป  ทำให้เกิดสีครามขึ้นมา กระบวนการตรงนี้ใช้แรงเยอะ เพราะจะใช้เวลาในการตีที่สม่ำเสมอและยาวนานถึง 40 นาทีต่อถัง จึงต้องใช้ทักษะอย่างมาก ในระหว่างที่ตีสักกระยะจึงต้องมีการสลับสับเปลี่ยนคนไปด้วย และผลผลิตจากการตีครามแต่ละรอบจำนวนน้อย คือได้เนื้อครามไม่ถึง  1 กิโล จากการยกน้ำลงเครื่อง จำนวน 9 ถัง (200 ลิตร)  ทำให้หลายชุมชนหันไปใช้สีครามที่มาจากสารเคมีกันมากขึ้น
 
นายนครินทร์ กล่าวต่อไปว่า จากการวิเคราะห์ดังกล่าวจึงได้ส่งข้อเสนอโครงการพัฒนาเครื่องต้นแบบ “โปรแกรมควบคุมเครื่องผสมน้ำคราม”และได้รับทุนสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center : NECTEC หรือเนคเทค) และบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป KBTG เพื่อพัฒนาเครื่องต้นแบบ ซึ่งเป็นการเขียนโปรแกรมคิดส์ไดร์ฟ เพื่อใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องผสมน้ำคราม เป็นโปรแกรมกึ่งอัตโนมัติ  ใช้โปรแกรมภาษา Python ใช้ร่วมกับคิดส์ไบร์ท ซึ่งเป็นโปรแกรมควบคุมตัวเครื่องอีกที เรียกว่า เป็นระบบสมองกลฝังตัว เพื่อใช้ในการควบคุมการทำงาน คือ เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว ชาวบ้านสามารถกดปุ่ม Start ให้เครื่องทำงานได้อัตโนมัติ และหยุดเมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้ ผลปรากฏว่าได้ผลผลิตเนื้อครามเทียบเท่ากับการตีด้วยมือในเวลาที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือ จาก 40 นาที เมื่อใช้เครื่องใช้เวลาเพียง 25 นาที ในปริมาณครามเท่ากัน ใน1 วัน สามารถผลิตเนื้อครามได้มากขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งโปรแกรมควบคุมเครื่องผสมน้ำคราม จะช่วยลดแรงในการตีน้ำครามในผู้สูงอายุ สามารถใช้กระบวนการนี้แทนแรง ลดเวลา และได้คุณภาพน้ำครามที่เท่ากัน เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วก็จะมีเสียงแจ้งเตือน ถือว่ามีความสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนการต่อยอดคือ ยังคงต้องปรับปรุงระบบเปลี่ยนน้ำในตัวเครื่อง เนื่องจากกระบวนการเติมน้ำขณะนี้ ยังเป็นการใช้แรงงานคนในการเปลี่ยนน้ำ 200 ลิตร เข้าออกตัวเครื่อง ในอนาคตอาจดำเนินการติดตั้งปั้มหรือท่อในการดึงน้ำเข้าและปล่อยน้ำออก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ทำการจดลิขสิทธิ์โปรแกรมควบคุมเครื่องผสมน้ำครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนการขออนุสิทธิบัตรเครื่องผสมน้ำคราม กำลังรอผลดำเนินการอยู่
 
 
 
email ข่าวการศึกษา เยาวชน ศิลปวัฒนธรรม  saowaporn@hotmail.com   และ  bat_mamsao@yahoo.com

หน้าแรก » การศึกษา