การศึกษา
"นิสิตสันติศึกษา มจร" ถอดบทเรียนสงครามและสันติภาพในโลกยุคใหม่จากพระไตรปิฎก
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๕ ที่ห้องพุทธเมตตา หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) พระปราโมทย์ วาทโกวิโท ดร.ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสันติศึกษา มจร ในฐานะอาจารย์ประจำวิชาสงครามและสันติภาพในโลกยุคใหม่ เปิดเผยว่า วันนี้(๑๗ ธันวาคม ) นิสิตระดับปริญญาโท รุ่น ๑๐ หลักสูตรสันติศึกษา มจร เรียนรู้วิชา “สงครามและสันติภายในโลกยุคใหม่” เริ่มจากการเจริญสติสร้างสันติภายในและบรรยายแลกเปลี่ยนโดย พระมหายุทธนา นรเชฏโฐ ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ภาควิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มจร ภายใต้หัวข้อ “สงครามและสันติภาพในพระไตรปิฎก”สะท้อนว่า โดยสงครามเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงกิเลสอย่างหยาบที่สุดของมนุษย์ที่มีแรงผลักดันมาจากรากเหง้าของความชั่วทั้งหลายที่ฝั่งลึกอยู่ในจิตใจมนุษย์คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยปราศจากความเมตตากรุณาต่อกันของมนุษย์ โดยทางพระพุทธศาสนามองสงครามในปฐมสังคามสูตรว่า “ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ผู้ละทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว มีใจสงบย่อมนอนเป็นสุข” โดยพระพุทธศาสนามุ่งจัดการภายในเป็นการป้องกันสงครามภายนอก
ในทุติยสังคารสูตรตรัสว่า “ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ ผู้ชนะย่อมได้รับการชนะตอบ ผู้ด่าย่อมได้รับการด่าตอบ ผู้โกรธย่อมได้รับการโกรธตอบ เพราะเมื่อกรรมให้ผล ผู้แย่งชิงนั้นย่อมถูกเขาแย่งชิงไป” แต่ทางพระพุทธศาสนามุ่งให้ทำสงครามกับกิเลสกับตนเอง จึงสะท้อนถึงคำสอนของพ่อที่สอนลูกคือ ทีฆาวุกุมาร กล่าวว่า “อย่าเห็นแก่สั้นอย่าเห็นแก่ยาว” หมายถึง อย่าเห็นแก่ยาวคืออย่าไปผูกเวรผูกอาฆาต อย่าเห็นแก่สั้นคืออย่าเพิ่งไปตัดความสัมพันธ์ตัดไมตรีแม้คนนั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับสงครามมนุษย์มีความทะยานอยาก ความต้องการในอำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือความต้องการโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์อยู่เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว มีตัณหาและความโลภเป็นฐานของสงคราม รวมถึง ส่วน “พวกเรา” เป็นพวกเดียวกันกับเรา กลุ่มเดียวกันกับเรา เป็นประเทศเดียวกันกับเรา ซึ่งแท้จริงความคิดที่แบ่งขั้ว ๒ ขั้ว ประกอบด้วย “พวกเขา” ประกอบด้วย เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา จารีต วัฒนธรรมแตกต่างกัน เคยทำร้ายกันมาก่อน แล้วเวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรเลยในกาลไหนแต่ระงับด้วยการไม่จองเวรต่างหาก
ในพระไตรปิฎกมีจูฬสงครามถือว่าเป็นสงครามขนาดเล็ก และมหาสงครามถือว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ ในพระวินัยปิฎกได้เปรียบเทียบพระสงฆ์ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์เท่ากับการเข้าสู่สงครามจึงต้องมีคุณสมบัติที่ดีพร้อม ประกอบด้วย “มีจิตยำเกรง เคารพในสงฆ์ ไม่เห็นแก่บุคคล มีความรู้ ไม่มีอคติ ไม่ดูหมิ่น” โดยไม่วินิจฉัยด้วยจิตมุ่งร้าย ไม่วินิจฉัยด้วยอาการผิดปกติ ซึ่งผู้ได้รับการแต่งตั้งต้องไม่มีอคติ ซึ่งคุณสมบัติของทหารหรือพระราชาที่จะทำสงคราม ประกอบด้วย ๑)จะต้องฉลาดในภูมิประเทศเทียบด้วยภิกษุผู้มีศีล ๒)ยิงไกล เปรียบด้วยภิกษุผู้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงไม่ยึดถือในขันธ์ ๕ ๓)ยิงไว เปรียบด้วยภิกษุผู้รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ๔)ทำลายกายใหญ่ เปรียบด้วยภิกษุผู้ทำลายกองแห่งอวิชชาใหญ่ แต่ในสงครามมี ๔ ประเภท ประกอบด้วย มหาสงคราม สงครามย่อย สงครามศาสนา สงครามภายในประเทศ จึงมีการห้ามพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรบ ห้าไปดูกองทัพที่ยกไป ห้ามดูเขารบกันเมื่อไปในกองทัพ ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน สรุปว่าถ้าไม่สมควรพระสงฆ์ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวกับกองทัพ การรบ หรือสงคราม
ความขัดแย้งของภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมาก โดยมีพระธรรมกถึกและพระวินัยธรมีความเห็นต่างกันจนนำไปสู่การแยกการทำสังฆกรรม พระพุทธเจ้าประนีประนอมแต่ไม่ฟังจนนำไปสู่การหลีกเลี่ยง สอดรับกับวิธีการยุติธรรมความอาฆาตแค้น “อย่างเห็นแก่สั้น อย่าเห็นแก่ยาว” ยาวหมายถึง ไม่ผูกเวร ไม่จองเวร สั้นหมายถึง ไม่ให้ตัดความสัมพันธ์ รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีไมตรีต่อกัน ซึ่งสาเหตุของสงครามเกิดขึ้นจากหลากหลายมิติ เช่น การโกรธ การผูกโกรธ การอาฆาตพยาบาท ซึ่งสงครามการรุกรานแคว้นวัชชีของพระเจ้าอชาตศัตรู จึงใช้อุบายแผนวัสสการพรหมณ์โดยยุให้ทะเลาะกันเอง ยุไม่ให้มีความสามัคคีกัน โดยสงครามระหว่างพระญาติ มีสาเหตุมีจากการแย่งทรัพยากร และการดูหมิ่นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ซึ่งสงครามล้างเผ่าพันธุ์พวกศากยะถือว่าหนักที่สุด
สาเหตุของสงครามในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย ๑)สงครามแคว้นมคธกับแคว้นวัชชี สาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ๒)สงครามระหว่างแค้วนมคธกับแคว้นโกศล สาเหตุมาจากการต้องการหมู่บ้านเพื่อเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ ๓)สงครามระหว่างพระญาติทั้งสองฝ่าย สาเหตุมาจากการแย่งชิงน้ำเพื่อการเกษตรกรรม ๔)สงครามล้างเผ่าพันธุ์พวกศากยะ สาเหตุมาจากการดูหมิ่นทางเชื้อชาติความโกรธการจองเวร
ดังนั้น การเรียนรู้ในระดับบัณฑิตศึกษาของ มจร จึงควรมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยสอดรับกับสาขาวิชาสันติศึกษา มจร ถือว่าเป็นการเข้าใจในพื้นฐานความเป็นมาของรายวิชาสงครามและสันติภาพในโลกยุคใหม่ ทำให้นิสิตระดับปริญญาโทได้คิดวิเคราะห์ตามแนวทางจินตามยปัญญา คือสามารถคิดวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ประวัติ พัฒนาการ ความเป็นมา สาเหตุ ผลกระทบ แนวทางแก้ไข ในการเกิดขึ้นของสงครามในสมัยพุทธกาลอันจะเป็นฐานของการศึกษาต่อไป
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การศึกษา
Top 5 ข่าวการศึกษา ![]()
- มก. จัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น 15 มิ.ย. 2568
- มก.ลงนามก่อสร้างอาคารเรียนและปฏิบัติการคณะแพทยศาสตร์ 15 มิ.ย. 2568
- “เจลลี่พุดดิ้งโปรตีนสูง” จากคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ รับรางวัลที่เจนีวา 15 มิ.ย. 2568
- ม.แม่ฟ้าหลวง-เทศบาลนครเชียงราย อบรมเฝ้าระวังคุณภาพน้ำชุมชน แก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก 15 มิ.ย. 2568
- อธิการฯจุฬา ห่วงนักศึกษาไทยในอเมริกา 15 มิ.ย. 2568
ข่าวในหมวดการศึกษา ![]()
ประกวดสร้างสรรค์ คลิป TikTok “เป็นหนึ่ง ไม่พึ่งยา” 15:28 น.
- "บ้านปลามีชีวิต” ฟื้นทรัพยากรสัตว์น้ำ ฟื้นชีวิตประมงพื้นบ้าน ทะเลสาบสงขลา 11:57 น.
- “รมว.ปุ๋ง” ขับเคลื่อนกิจกรรม “ศิลปินสร้างศิลปิน” สืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมอนุรักษ์พื้นฟูมรดกภูมิปัญญาของชาติ และหนุน Soft Power 10:59 น.
- 'ณหทัย ทิวไผ่งาม' ลงพื้นที่พะเยา ติดตามภารกิจ Thailand Zero Dropout ชูเมืองแห่งการเรียนรู้ สานพลังทุกภาคส่วนช่วยเด็กนอกระบบ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 09:30 น.
- จุฬาฯ – ไปรษณีย์ไทย เปิดมิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง 09:01 น.