วันเสาร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568 17:46 น.

การศึกษา

"ดร.ณพลเดช" ชง "ปราบฉันบวบโมเดล"  ตั้งกรรมการกลางก่อนสึกพระ

วันศุกร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 22.00 น.

เหตุคลิปฉาวเจ้าอาวาสเชียงราย จุดประกายแนวทางใหม่ ตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบก่อนสึกพระ  ที่ปรึกษาผู้ช่วย รมต.ฯ ชี้ต้องคุ้มครองสิทธิพระตามพระธรรมวินัย–กฎหมาย ลดปัญหาชุมชนแตกแยก เสนอทำบันทึกข้อตกลง ตร.–มหาเถรฯ ดำเนินการจับสึกพระอย่างมีขั้นตอนและเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย หลังจากมีคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสวัดชื่อดังเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาสื่อถึงความสัมพันธ์กับชายหนุ่มอย่างลึกซึ้งจนสร้างความเสียหายต่อศรัทธาของประชาชนในวงกว้าง เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุของเหตุการณ์นี้น่าจะมาจากความขัดแย้งภายในวัด ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอให้เจ้าอาวาสรับผิดชอบด้วยการลาสิกขา

ดร.ณพลเดช เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลา 14.30 น. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ โดยได้ประสานคณะสงฆ์เพื่อตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพฤติกรรมของพระสงฆ์ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีพระครูสิริธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย และเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรืองเป็นประธาน พร้อมคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์รวม 7 รูป เพื่อพิจารณากรณีที่มีภาพของพระครูประจักษ์วรวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดโล๊ะป่าห้า ปรากฏในสื่อออนไลน์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ ในที่ประชุม พระครูประจักษ์วรวัฒน์ได้ยอมรับว่าเป็นภาพของตนเอง และแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอลาสิกขาในวันที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 07.00 น. ที่วัดศรีบุญเรือง

แนวทางนี้ตนขอเรียกว่า “ปราบฉันบวบโมเดล” โดยเน้นการตั้งคณะกรรมการกลางที่มีทั้งคณะสงฆ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบก่อนจะมีการดำเนินการใด ๆ ที่ส่งผลต่อพระสงฆ์ วิธีการนี้นอกจากจะคุ้มครองสิทธิของพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัย นิติธรรมและนิติรัฐแล้ว การที่ผู้กระทำความผิดยอมรับผิดเอง เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแยกในชุมชน

การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย ในทางพระธรรมวินัยนั้น การจัดการกับพระสงฆ์ที่กระทำผิดจะยึดพระวินัยเป็นหลักสูงสุด โดยต้องตัดสินตามข้อบัญญัติและให้โอกาสผู้กระทำผิดได้ชี้แจงต่อหน้าสงฆ์ เป้าหมายสำคัญคือการรักษาความบริสุทธิ์ของหมู่คณะและพระศาสนา พร้อมเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ที่ผิดได้กลับตัวและปฏิบัติตนให้ถูกต้องอีกครั้ง หากผิดก็ต้องสึกออกไป ส่วนในทางกฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดไว้ในมาตรา 27 ว่า หากพระสงฆ์ประพฤติผิดอย่างร้ายแรงและไม่ยอมปฏิบัติตามมติของสงฆ์ คณะกรรมการผู้พิจารณามีอำนาจออกคำสั่งให้สึกได้ภายใน 3 วัน สำหรับมาตรา 29 หากพระสงฆ์กระทำผิดอาญา ตำรวจสามารถให้ถอดจีวรได้ แต่ไม่ถือว่าเป็นการสึกอย่างสมบูรณ์ตามพระธรรมวินัย ดังนั้น กรณีที่พระสงฆ์ถูกจำคุก เมื่อพ้นโทษแล้วยังคงถือเป็นพระอยู่เช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม ดร.ณพลเดช เสนอว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรเสนอต่อ มหาเถรสมาคม ควรทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีการจับกุมและดำเนินคดีกับพระสงฆ์ ควรเป็นไปตามกระบวนการที่มีการตั้งคณะสงฆ์พิจารณาก่อนทุกครั้ง วิธีการนี้จะช่วยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องทั้งตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย และลดความขัดแย้งระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
 

หน้าแรก » การศึกษา