วันพฤหัสบดี ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.26 น.
สถาปัตย์ จุฬาฯ จัด “Urban Resilience Forum 2025” ขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองยืดหยุ่นและยั่งยืน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับองค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (Urban Renaissance Agency: UR) จัดงาน Urban Resilience Forum 2025 “ก้าวข้ามความเปราะบาง สู่เมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน” เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ณ True Icon Hall ศูนย์การค้าไอคอนสยาม โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายอิชิดะ มาซารุ ผู้ว่าการ Urban Renaissance Agency (UR) ผศ.สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เข้าร่วมงาน

Urban Resilience Forum 2025 เป็นเวทีเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนการวิจัย การออกแบบ และการพัฒนาเมืองไทยให้พร้อมรับมือความท้าทายของอนาคต ทั้งด้านภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย และการพัฒนาเศรษฐกิจ
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนด้านการพัฒนาเมืองโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ กับองค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (UR) ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาเมือง เป็นการบูรณาการความรู้ระหว่างสองประเทศ ซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมาวางแผนพัฒนากลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด
“การพัฒนาเมืองในวันนี้ ต้องเป็นการพัฒนาทางกายภาพที่จะช่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ในเมือง เพื่อทำให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ๆ มีความสุข หากเรามีการวางแผนพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนก็จะช่วยสร้างเมืองที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีความสุข มีคุณภาพชีวิต และแข่งขันได้ในระดับโลกได้ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น” ศ. ดร.วิเลิศ กล่าว
นายอิชิดะ มาซารุ ผู้ว่าการ UR กล่าวว่า UR มีประสบการณ์การพัฒนาเมืองในประเทศญี่ปุ่นมามากกว่า 500 โครงการ พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านหน่วย รวมถึงการพัฒนา TOD (Transit Oriented Development) และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติอย่างกว้างขวาง ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ UR ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ และจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองที่โดดเด่น จึงมุ่งหวังที่จะนำความรู้และบทเรียนจากญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อช่วยสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป
ด้าน รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการสร้างความสามารถในการรับมือแผ่นดินไหวของกรุงเทพฯ พร้อมทั้งกลยุทธ์การรับมือและการปรับตัวว่า โลกปัจจุบันมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมืองที่ประสบกับปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ ปัญหาของเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อาทิ ปัญหาน้ำท่วม โรคระบาด แผ่นดินไหว ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สังคมผู้สูงอายุ ล้วนเป็นปัญหาของเมืองที่ต้องการการแก้ปัญหาอย่างยืดหยุ่นทั้งสิ้น ซึ่งหัวใจของการสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน คือความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสถาบันการศึกษา เพื่อร่วมกันพัฒนาเมือง สร้างเมืองที่ยืดหยุ่นอย่างยั่งยืนมากที่สุด ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาเมืองที่เกิดขึ้นอย่างเข้มแข็ง ความร่วมมือในครึ้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อนาคตของเมืองมีความปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้น
ผศ.ศรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า “เมืองยืดหยุ่น” (Resilient City) คือเมืองที่มีความพร้อมต่อการรับมือและใช้โอกาสจากความเปลี่ยนแปลงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เมืองยืดหยุ่นมีความสำคัญในโลกปัจจุบันเป็นอย่างมาก เมื่อเมืองมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความยืดหยุ่นของเมืองก็ลดน้อยลง เมืองจะทนทานกับภัยพิบัติหรือรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้น้อยลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ขนส่งมวลชนไม่สามารถใช้งานได้ เกิดปัญหาการจราจรติดขัดตลอดทั้งเมือง ซึ่งหากเมืองมีความยืดหยุ่น ก็จะมีการวางแผนและมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมกับในโลกอนาคตที่เราคาดการณ์ไม่ได้
“ประเทศไทยอาจยังไม่มีความชำนาญในการพัฒนาเมืองให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีกลไกการพัฒนาเมือง ตลอดจนองค์ความรู้และองค์กรในการบริหารจัดการจนเกิดผลสำเร็จในหลายรูปแบบ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และ UR จึงคาดหวังว่าจะทำให้คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สามารถนำความรู้จาก UR มาปรับใช้ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยเกิดความรู้ความเข้าใจและมีเป้าหมายต่อการพัฒนาเมืองที่ตรงกัน เพื่อแก้ไขปัญหาของเมือง สามารถพัฒนาการใช้ที่ดินได้อย่างเต็มศักยภาพ ผู้คนในเมืองเกิดความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสะดวกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้” ผศ.ศรายุทธ กล่าว
คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นพัฒนาแล้วเกิดผลสำเร็จอย่างมาก คือย่านที่เป็นจุดตัดหลัก ๆ ในการคมนาคม ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาเมืองให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า สำหรับประเทศไทยมีหลากหลายย่านที่มีศักยภาพในการพัฒนา อาทิ ย่านบางซื่อหรือมักกะสัน ซึ่งเป็นแผนการพัฒนาของรัฐบาลอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งที่จุฬาฯ และ UR ได้วางแผนการพัฒนาร่วมกันเป็นพื้นที่ต้นแบบ คือ พื้นที่โดยรอบจุฬาฯ ซึ่งเหมาะสมในการพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบ เป็นห้องทดลองของเมือง หากสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้สำเร็จ พื้นที่จุฬาฯ ก็จะกลายเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้กับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย
ส่งข่าวได้ที่ email : saowaporn12345@gmail.com และ bat_mamsao@yahoo.com