วันศุกร์ ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568 04:08 น.

การศึกษา

"ดร.มหานิยม" เปิดแผน 20 ปี ปฏิรูปการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้ง 4 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ชงตั้งสำนักโฆษกคณะสงฆ์

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568, 17.57 น.

"ดร.มหานิยม" โชว์วิสัยทัศน์ "การเผยแผ่พระพุทธศาสนา 20 ปี" แนะจัดทำ 4 ยุทธศาสตร์  คณะสงฆ์ตั้ง "สำนักโฆษก-สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ" ช่วยงานพระพุทธศาสนา  

เมื่อวันที่ 11  กันยายน 2568   เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมใหญ่พุทธมณฑล จ.นครปฐม  ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปบรรยายพิเศษ เรื่อง “วิสัยทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ความท้าทายและโอกาส” ในการประชุมสัมมนาบุคลากรเผยแผ่พระพุทธศาสนา” ประจำปีงบประมาณ 2568 ให้กับพระสังฆาธิการ คณะกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด และบุคลากรด้านการเผยแผ่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต  นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษ

ดร.นิยม เวชกามา ได้กล่าวว่า ได้แสดงวิทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน 20 ข้างหน้า โดยได้วางยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ประเด็นหลัก ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีการวางหัวข้อย่อย พร้อมกับยกรัฐธรรมนูญปี 2568 ที่วางกรอบไว้  ทำไมต้องมีแผนยุทธศาสตร์  สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายก่อนจะวางแนวทางการพัฒนา เราจำเป็นต้องเข้าใจบริบทแวดล้อมอย่างชัดเจนเสียก่อน  ความท้าทายต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ปัจจุบันมองได้ 5 ประเด็นหลัก คือ 

หนึ่งวิกฤตศรัทธาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์บางส่วนที่มัวหมอง การตีความพระธรรมวินัยที่บิดเบือน และการเน้นพุทธพาณิชย์มากกว่าพุทธธรรม ทำให้ศรัทธาของประชาชนสั่นคลอน สอง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี วิถีชีวิตที่เร่งรีบ สังคมวัตถุนิยม และอิทธิพลของสื่อดิจิทัล ทำให้คนรุ่นใหม่ห่างเหินจากวัดและการปฏิบัติธรรม สาม ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ ระบบการปกครองคณะสงฆ์บางส่วนอาจยังขาดประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส และไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สี่ ความขัดแย้งทางความคิด การเกิดขึ้นของลัทธิความเชื่อใหม่ๆ และความเห็นต่างในการตีความหลักธรรม อาจนำไปสู่ความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชน และ ห้า ภาวะขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ การลดลงของจำนวนพระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง ส่งผลกระทบต่อการสืบทอดพระศาสนาในระยะยาว

ตรงนี้ ภาระของรัฐหรือรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยและส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและงานคณะสงฆ์ เพราะรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวกำหนดไว้ว่า “รัฐมีหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา” ไม่เฉพาะงานคณะสงฆ์เท่านั้นที่รัฐต้องส่งเสริมแม้กระทั้งในหมู่ชาวพุทธ รัฐก็ต้อง  รัฐต้องส่งเสริมการศึกษาและเผยแผ่หลักธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และพัฒนาจิตใจและปัญญาของประชาชน พร้อมสนับสนุนองค์กรทางศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วม รวมทัังป้องกัน ฟื้นฟู และดึงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจการพระพุทธศาสนาด้วย

ยุทธศาสตร์ที่ 1: การศึกษาเพื่อปัญญา  เป้าหมาย : สร้างพุทธศาสนิกชนที่มี “สัมมาทิฏฐิ” เข้าใจแก่นแท้ของคำสอน สามารถแยกแยะระหว่างพุทธแท้และพุทธเทียมได้
1.โครงการ “พระไตรปิฎกออนไลน์” : จัดทำและเผยแพร่พระไตรปิฎกในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทั้งในรูปแบบหนังสือ สื่อดิจิทัล (E-book, Audiobook) และแอปพลิเคชัน พร้อมคำอธิบายเชิงวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
2.ปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรม : พระภิกษุต้องแม่นพระไตรปิฎก ปรับปรุงหลักสูตรนักธรรม-บาลี ให้ทันสมัย เน้นการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบผ่าน ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการศึกษาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่
3.การอบรมการเขียนข่าว ผลิตคอนเท้นต์ ที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับบทบาทของพระสงฆ์ให้สามารถเป็นผู้นำด้านการเผยแพร่พระธรรมผ่านสื่อยุคใหม่
4.จัดตั้ง “สถาบันพุทธนวัตกรรมและการวิจัย” : เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเชิงลึก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสังคมร่วมสมัย เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิต และความขัดแย้ง โดยใช้หลักพุทธธรรมเป็นฐาน ส่งเสริมให้พระสงฆ์ตื่นตัวให้รู้ทันสังคม เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม ที่เปิดโอกาสให้พระหนุ่มเณรน้อย เรียนศาสตร์สมัยใหม่ได้
5.ส่งเสริม “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” : จัดอบรมหลักสูตรพระพุทธศาสนาระยะสั้นสำหรับบุคคลทั่วไปในหลากหลายหัวข้อ เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์ พุทธจิตวิทยา พุทธธรรมเพื่อการบริหาร เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การยกระดับการปฏิบัติและการเผยแผ่ (Practice & Propagation Enhancement)  เป้าหมาย: ทำให้วัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็น “สัปปายะสถาน” ที่เป็นที่พึ่งทางใจ และสร้างศาสนทายาทที่มีคุณภาพ 
1.พัฒนาวัดให้เป็น “ศูนย์กลางการพัฒนาชีวิต” : ส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การปฏิบัติธรรม และการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Public Service) โดยมีพระสงฆ์เป็น “พระอาจารย์” และ “โค้ชชีวิต”
2.โครงการ “ธรรมะดิจิทัล” : สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์กลาง (National Dhamma Platform) เพื่อรวบรวมคำสอนที่ถูกต้อง หลักปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นช่องทางให้ประชาชนได้ปรึกษาปัญหาชีวิตกับพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
3.จัดตั้งสำนักโฆษก และช่องทางสื่อสารของมหาเถรสมาคม เพื่อทำหน้าที่สื่อสารให้ความรู้ข้อหลักธรรมะ ข่าวสารกิจการของคณะสงฆ์ แถลงการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
4.สร้างภาคีเครือข่ายด้านสื่อมวลชน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที
5.ปฏิรูปการบวชและพัฒนาระบบคัดกรอง : สร้างมาตรฐานกระบวนการบวชให้มีความเข้มข้น เพื่อให้ได้ผู้ที่เข้ามาในพระธรรมวินัยด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง พร้อมจัดตั้งระบบ “พระพี่เลี้ยง” เพื่อดูแลและให้คำปรึกษาแก่พระนวกะ
6.ส่งเสริม “การเผยแผ่เชิงรุกนานาชาติ” สนับสนุนการแปลพระไตรปิฎกและคัมภีร์สำคัญเป็นภาษาต่างๆ จัดตั้งศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ และส่งพระธรรมทูตที่มีความสามารถทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติไปเผยแผ่พระศาสนาทั่วโลก

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การปฏิรูปการบริหารจัดการองค์กร (Organizational & Governance Reform)  เป้าหมาย สร้างองค์กรคณะสงฆ์ที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเป็นที่น่าเคารพศรัทธาแผนงานหลัก
1.นำหลัก “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) มาใช้: จัดทำประมวลจริยธรรม (Code of Conduct) สำหรับพระสังฆาธิการทุกระดับ และจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา” ขึ้นมาโดยเฉพาะ
2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง (Big Data): จัดทำระบบฐานข้อมูลพระภิกษุ-สามเณร วัด และทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ เพื่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
3.ปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์: ทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นแกนกลาง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพุทธบริษัทสี่
5.จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาพระพุทธศาสนา”: ระดมทุนจากภาคประชาชนและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาอย่างเป็นระบบและตรวจสอบได้

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการมีส่วนร่วม (Network & Participation Building) เป้าหมาย ผนึกกำลัง “พุทธบริษัท 4” (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ให้ร่วมกันขับเคลื่อนงานพระศาสนาอย่างเป็นเอกภาพ
1.จัดตั้ง “สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ”: สร้างเวทีกลางให้ตัวแทนจากองค์กรชาวพุทธต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยน และกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกันเป็นประจำทุกปี
2.โครงการ “ครอบครัวธรรมะ”: ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวเป็นรากฐานในการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาให้แก่เยาวชน
3.ส่งเสริม “องค์กรชาวพุทธเพื่อสังคม”: สนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินงานขององค์กรชาวพุทธที่ทำงานด้านต่างๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ยากไร้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างสันติภาพ
4.สร้าง “เครือข่ายพุทธนานาชาติ”: สร้างความร่วมมือกับองค์กรชาวพุทธทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันเผยแผ่สัจธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กว้างไกล

“ปัจจัยแห่งความสำเร็จ การจะทำให้แผนนี้สำเร็จลุล่วงได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือ “ความจริงจังและจริงใจ” ของคณะสงฆ์ผู้เป็นผู้นำ และ “พลังศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา” ของพุทธศาสนิกชนทุกคน  แผนพัฒนาฉบับนี้เป็นเพียงกรอบแนวทางกว้างๆ ที่จะต้องมีการนำไปขยายผลและกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในลำดับต่อไป อาตมภาพหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะนำพาให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เป็นแสงสว่างนำทางให้แก่สังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน..” ดร.นิยม เวชกามา กล่าวฝากทิ้งท้าย

หน้าแรก » การศึกษา