วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568 14:26 น.

การศึกษา

138 ปี “มจร” สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงให้เป็นสถานที่ “ศึกษาพระไตรปิฏก และวิชาชั้นสูง”

วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.14 น.

วันที่ 13 กันยายน 2568 เนื่องในวโรกาสมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยครบรอบ 138 ปี ในวันที่ 13 กันยายน 2568 นี้ พระเมธีวัชรบัณฑิต ผู้อำนวยการหลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษา ระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  (มจร) ได้เขียนบทความเชิงวิเคราะห์ 138 ปี วิเคราะห์ พระราชปณิธานล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ศึกษาพระไตรปิฏก และวิชาชั้นสูง  โดยมีรายละเอียดว่า ส่วนตัวไม่มั่นใจว่า เคยมีบูรพาจารย์ ศิษย์ปัจจุบัน หรือศิษย์เก่า มจร เคยนำพระราชปธิธานเส็ดจพ่อ ร.5 หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นมาตั้งข้อสังเกตในประเด็น “ศึกษาพระไตรปิฏก” อย่างละเอียดลึกซึ้งและรอบด้านบ้างหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีอย่างชัดแจ้ง แล้ว ขอให้วิญญชนได้โปรดอนุเคราะห์ข้อมูลมาทางช่องทางต่างๆ ด้วย  แต่ที่ได้อ่านมาบ้าง และได้เห็นมีการตีความชัดเจนมากคือ ประเด็น “วิชาชั้นสูง” บูรพาจารย์ตีความประเด็นวิชาชั้นสูงออกเป็น 2 นัย คือ

1:วิชาชั้นสูงคือวิทยาการสมัยใหม่

บูรพาจารย์กลุ่มหนึ่งตีความตามบริบทว่า ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป เห็นระบบการศึกษาของตะวันตกที่มุ่งศึกษาเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ ทั้งวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ เป็นต้น ยามเสด็จกลับประเทศไทย จึงประสงค์ให้สถาปนามหาจุฬาฯ ศึกษาเพิ่มเติมจากพระไตรปิฏก ขยายขอบฟ้าไปศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ด้วย เป็นการเพิ่มจากตาในไปเรียนรู้เปิดตานอกด้วย อันจะทำให้มี 2 ตา คือ ทวิจักขุ อันจะส่งผลต่อการเข้าใจชีวิต และเข้าใจโลกที่เอื้อตาฝ่อการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล

2: วิชาชั้นสูงคือวิปัสสนากรรมฐาน

ประเด็นนี้ได้ยินจากลูกศิษย์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) ว่า เจ้าประคุณฯ ตีความว่า วิชาชั้นสูง หมายถึง วิปัสสนากรรมฐาน เท็จจริงอย่างไร?? สัทธิวิหาริก และอันเตวาสิกของเจ้าประคุณฯ สามารถเข้ามาแสดงความเห็นเพิ่มเติมได้ แต่ที่ได้ยินจากปากของลูกศิษย์บางท่านมานั้น ยืนยันว่า เจ้าประคุณฯ ผู้ใส่ใจไฝ่งานวิปัสสนากรรมฐานได้เคยสอนสานุศิษย์ในประเด็นดังกล่าว


ด้วยเหตุผลที่ว่า วิชาวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง คือวิชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ตามนัยที่สิทธัตถะโพธิสัตว์ได้ศึกษาและเจนจบ ทั้ง 18 ศาสตร์ แต่ก็มิอาจทำให้เข้าถึงความจริงได้ แต่เมื่อได้ค้นพบวิชาวิปัสสนากรรมฐานด้วยพระองค์เองจนเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า วิชาวิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นวิชาชั้นสูงเพราะเป็นเครื่องมือเข้าถึงความจริงสูงสุด

ส่วนตัวมองประเด็นเหล่านี้อย่างไร?!?

กล่าวถึงความคิดส่วนตนนั้น มิได้มีประเด็นใดที่เห็นแย้งกลับบูรพาจารย์ผู้เป็นที่รักของประชาคม มจร แต่ประการใดเลย เพราะมุมมองดังกล่าว ส่งผลต่อการศึกษาเรียนรู้ของลูกหลาน มจร มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงกระนั้น ประเด็นที่อยากจะแบ่งปันกับวิญญูชนทั้งหลาย ทั้งศิษย์ มจร หรือมิใช่ก็ตาม ไม่ใช่ประเด็นวิชาชั้นสูง ดังที่กล่าวในเบื้องต้น หากแต่เป็นประเด็นของพระราชปณิธานที่ว่าด้วย “ศึกษาพระไตรปิฏก” 

ในพระพุทธศาสนาจะกล่าวถึงคุณสมบัติสำคัญของผู้ศึกษาอยู่คำหนึ่ง คือ คำว่า “วิชชาจรณสัมปันโน” ซึ่งแปลว่า “เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยวิชาและจรณะ” และการจะมีสภาวะดังกล่าวได้นั้น ผู้ศึกษาจะมุ่งจำเพาะปริยัติอย่างเดียวไม่ได้ จำต้องมุ่งแปรปริยัติลงสู่การปฏิบัติด้วย เพราะปริยัติและปฏิบัติจะเกื้อหนุนกันจนกลายเป็นรากฐานสำคัญของปฏิเวธที่สะท้อนสภาวะของวิชาและจรณะ

การศึกษาพระไตรปิฏกตามพระราชปณิธานนั้น คำว่า “ศึกษา” ที่พระองค์ตรัสในความหมายและบริบทของพระพุทธศาสนานั้น หากมองให้ลึกซึ้งถึงพระประสงค์แล้ว จึงมิได้มุ่งจำเพาะการศึกษาข้างนอกที่มุ่งเพียงปริยัติเป็นแน่แท้ เชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงมุ่งหมายไปถึงการศึกษาข้างใน โดยการนำปริยัติลงสู่การปฏิบัติด้วย เพราะการศึกษาในความหมายที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา มาจากคำว่า “ส+อิกขะ” แปลว่า “เห็นหรือเข้าใจตัวเอง” คำว่า “ตัวเอง หมายถึง ขันธ์ 5 หรือ รูปนาม ที่คนทั่วไปเรียกว่า กายใจ นั่นเอง

เหตุใด?? ส่วนตัวจึงมั่นใจแบบนั้น เพราะพระราชปณิธานชุดแรกที่ว่า “ศึกษาพระไตรปิฏก” นั้น เป็นประปณิธานที่มุ่งให้ผู้ศึกษามุ่งศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงปฏิเวธ อันเป็นการศึกษาให้จบทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยใช้ไตรสิกขา คือ อธิปัญญาสิกขา อธิศีลสิกขา และอธิจิตตสิกขา เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษา

หลังจากนั้น จึงเข้าสู่พระราชปณิธานชุดที่สอง คือ คำว่า “วิชาชั้นสูง” อันหมายถึงวิทยาการสมัยใหม่ที่พระองค์เสด็จพระประพาสยุโรปแล้ว ทรงตระหนักรู้ว่า วิทยาการเหล่านี้ ควรค่าต่อการนำมาให้พระภิกษุสามเณร รวมถึงพากนิการชาวไทยได้ศึกษา เรียนรู้ และต่อยอด ให้เกิดการพัฒนาจนทัดเทียมอารยประเทศ จึงไม่แปลกที่บูรพาจารย์ มจร จะนำพระราชปณิธานมาปรับเป็นวิสัยทัศน์ ดังคำที่ว่า “ศึกษาพระพุทธศาสนา บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ พัฒนาจิตใจและสังคม”

คำว่า “ศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือศึกษาพระไตรปิฏก” ในขณะที่คำว่า “ บูรณาการกับศาสตร์สมัยก็คือวิชาชั้นสูง” แล้วขยายต่อยอดไปสู่เป้าหมายของทั้งสองชุดข้อความทั้งสองข้างต้นให้ชัดแจ้งว่า พัฒนาจิตใจและสังคม

จะเห็นว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาตามนัยบูรพาจารย์ก็ดี การศึกษาพระไตรปิฏกตามนัยแห่งพระปิยมหาราชผู้สถาปนา มจร ก็ดี จึงมิได้มุ่งหมายจำเพาะตัวหนังสือที่นำมาจารึกหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ในพระไตรปิฏกเท่านั้น หากแต่กระตุ้นให้ผู้ศึกษาเข้าถึงลมหายใจของธรรมวินัยตามที่ปรากฏในพระไตรปิฏกด้วย

คำถามมีว่า แล้วจะเข้าถึงธรรมวินัยได้อย่างไร คำตอบก็คือ เข้าถึงได้ด้วยการศึกษาที่ผ่านการปฏิบัติ ฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า บูรพาจารย์ชาว มจร นำโดยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) จึงกระตุ้นให้ผู้ศึกษาปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐาน เพราะแนวทางนี้ จะทำให้ผู้ศึกษารู้จักและเข้าใจรูปนาม หรือกายใจอย่างชัดแจ้ง ตามพระราชปณิธานของเสร็จพ่อ ร.5

“138 ปี” มาบรรจบครบ จึงเป็นเหตุแห่งการรำลึกนึกถึงคุณูปการของเสร็จพ่อ ร.5 พระผู้ทรงเป็นที่รักของลูกหลานชาว มจร และบูรพาจารย์ทั้งหลาย ที่มุ่งมาดปรารถนาให้พระลูกพระหลาน รวมถึง พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาให้สิ้นสุดทั้งกระบวนการในการจัดการศึกษาพระไตรปิฏกหรือพระพุทธศาสนา ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ผ่านเครื่องมือและกลไกสำคัญคือไตรสิกขา

การรักษาพระราชปณิธานของพระองค์ และเหล่าบูรพาจารย์ มจร เอาไว้ได้ก็ย่อมหมายถึงรักษาลมหายใจของพระองค์ และเหล่าบูรพาจารย์ผู้เป็นที่เคารพรักของลูกหลานชาว มจร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาแก่นแท้ของคำว่า “การศึกษาพระไตรปิฏกและพุทธศาสนา” ที่พระองค์ และบูรพาจารย์มุ่งหมายให้ลูกหลานชาว มจร ได้สำเหนียกและใส่ใจ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระไตรปิฏก หรือพุทธศาสนาสืบไปฯ

หน้าแรก » การศึกษา